2011/06/30

Assorted jam-filled puffs, finally I did the puff pastry by myself


ช่วงนี้กำลังบ้าพลัง อยากปล่อยของ อยากใช้แรงงานเยอะๆ ให้เหมาะสมกับที่ปริมาณอาหารที่บริโภคเข้าไป ครั้นจะให้กระดิกตัวออกกำลังกายก็ไม่ใช่ทาง ถอดใจไปหลายชนิดกีฬาแล้ว เหลือก็แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ขนช็อปมาที่ยังระหกระเหเร่ร่อนอยู่คนละทางสองทางให้หงุดหงิดหัวใจ เลยต้องหาทางออกทางใหม่ในการเบิร์นแคลอรี่ที่รับไปด้วยการประกอบกิจกรรมสุดโปรดแทน หนีไม่พ้นการทำขนม แต่ครั้งนี้ขอหนักๆ เน้นๆ เอาแบบนอนสต๊อป (แต่ยังไม่ชัวร์ว่าหลังจากที่ทำเสร็จแล้วไอ้ที่เบิร์นออกไปมันจะสมดุลกับที่รับเข้ามาใหม่รึเปล่า)
เสียเวลานั่งคิดนอนคิดตั้งนานว่าจะทำขนมอะไรดีที่จะต้องใช้ความถึกและระยะเวลาที่ยาวนาน สุดท้ายก็มาลงตัวที่คุณน้องพัฟพาสตรี้นี่แหละ สาเหตุก็จากกิติศัพท์ที่ร่ำลือมาว่ากว่าจะได้มันออกมาต้องตรากตรำเป็นเวลานานมาก และขั้นตอนต่างๆ ที่จะทำให้บรรลุผลสำเร็จมันเยอะดี ประกอบกับเป็นครั้งแรกไม่เคยทำเองมาก่อน ทำให้ตัดสินใจเลือกไม่ยาก
นั่งจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อลอกการบ้านผู้เชี่ยวชาญอยู่ตั้งนาน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ก็อาศัยวิธีของคุณปุ๊กแห่ง dailydeliciousthai เพียงแต่ใจไม่ป้ำพอจะทำเต็มสูตรเพราะกลัวเจ๊ง เลยจัดการหารครึ่ง เผื่อว่าถ้าเกิดล้มเหลวทิ้งไปจะได้ไม่เสียดาย เตรียมนู่นเตรียมนี่เสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว  ของเค้าแรงจริงไรจริง จากประสปการณ์ของคนอื่นเค้าบอกกันว่าต้องให้เวลากับมันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แต่การันตีตรงนี้เลยว่าต้องใช้เวลานานกว่ามืออาชีพแน่ๆ  แล้วคืนนี้จะได้นอนกี่โมงกันเนี่ยค้า เป็นไปตามคาดรีดแป้งรอบสุดท้ายก็เลยเที่ยงคืนไปครึ่งชั่วโมง แต่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าแก้วไว้ในห้องครัวเหมือนซินเดอเรลล่านะ แต่ทิ้งพัฟพาสตรี้ไว้ในตู้เย็นรอการเปลี่ยนรูปพรุ่งนี้แทน
หลังจากใจเต้นตุ้มต่อมลุ้นเหมือนลุ้นสลากกินแบ่งยังไงยังงั้น พัฟที่อบแล้วถึงจะยังไม่มืออาชีพแต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง (จะผิดหวังได้ไงล่อไปตั้งครึ่งโหล) หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

พัฟใส้แยม
พัฟพาสตรี้
egg wash (ไข่แดง 1 ฟอง น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ กับเกลืออีกเล็กน้อย คนให้เข้ากัน)
น้ำตาลไอซิ่งสำหรับโรยหน้า
แยมราสเบอร์รี่โฮมเมด ดูสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่
แยมแอปริคอทโฮมเมด
แยมบลูเบอร์รี่โอมเมด
วิธีทำ
สำหรับพัฟพาสตรี้ ดูสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่
บัตเตอร์บล็อค




เมื่อได้พัฟพาสตรี้ที่ต้องการแล้วก็รีดให้เป็นแผ่นบางๆ ประมาณ 2 มิลลิเมตร ใช้คุ้กกี้คัตเตอร์รูปแบบตามใจชอบกดออกมาเป็นชิ้นๆ โดยแต่ละชิ้นให้ใช้คุ้กกี้คัตเตอร์กลมที่มีขนาดเล็กกว่ากดลงไปตรงกลางให้เป็นรอย แต่ไม่ให้ขาดออกจากกัน เพื่อที่เวลาอบสุกแล้ว ใช้มือกดลงไปเป็นช่องเพื่อใส่แยม
จากนั้นก็จัดการทาบางๆ ด้วย egg wash แล้วโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งอีกที
เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ระหว่างรอให้อุณหภูมิในเตาอบได้ที่ ให้นำพัฟพาสตรี้ที่ทาด้วย egg wash  และโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งแล้ว เข้าตู้เย็นไว้ก่อน อบประมาณ 10-15 นาที หรือจนพัฟเป็นสีเหลืองทอง นำออกมาจากเตาอบพักให้เย็น จากนั้นใช้มือกดเบาๆ ตามรอยที่ใช้คุ้กกี้คัตเตอร์กลมกดเอาไว้ ให้เป็นช่องจัดการใส่แยมที่ชอบลงไป เป็นอันเรียบร้อย


2011/06/29

Macarons revisited; Macarons with bacon cheese cream salad


กลับมาสู่นิวาสสถานอันแสนสุขเสียที หลังจากจิตตกใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลตั้งสามวันสองคืนเฝ้าดูอาการหลังผ่าตัดของแสบพี่ เมื่อเจี๋ยนเจ้าต่อมทอนซิลออกไปจากจุดเกิดเหตุช่างเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างมาก จากที่เคยนอนกรนเหมือนโรงสีไฟกลับกลายเป็นนอนเงียบเหมือนเป่าสากซะงั้น เลยต้องลำบากคุณแม่ดีเด่นอย่างเราต้องคอยเอานิ้วจ่อตรงปลายจมูกเพื่อเช็คดูว่าลูกยังหายใจรึเปล่า ตกลงเลยไม่รู้ว่าดีรึเปล่ากับคุณภาพชีวิตของคุณแม่ เพราะว่ายังคงต้องตื่นบ่อยๆ อยู่เหมือนอย่างเคย ต่างกันตรงที่จากเดิมตื่นเพราะคอยเปลี่ยนท่านอนเป็นตื่นเพราะกลัวลูกไม่หายใจ เฮ้อ เมื่อไหร่จะปรับตัวได้เนี่ย เศร้าจัง
ตอนอยู่โรงพยาบาลดันลืมเอาอุปกรณ์เพิ่มพลังให้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดติดไปด้วย ทำให้พลาดโอกาสอัพเดตข้อมูลที่คิดว่าสำคัญไปมากโข ดังนั้นวินาทีที่เท้าเหยียบเข้ามาในตัวบ้านเลยรีบแจ้นไปเชื่อมต่ออย่างเร่งด่วน ไม่ผิดหวังจริงๆ เปิดปุ๊บก็ได้พบกับคำชี้แนะที่รอคอยจากกูรูมาคาฮอง หลังจากที่เปิดประเด็นเอาไว้ก่อนพาแสบพี่เข้าโรงพยาบาล กูรูท่านแนะว่าให้เปิดไฟทั้งบนและล่าง 2 นาทีแรกตอนอบมาคาฮอง หลังจากนั้นก็ให้เปลี่ยนเป็นไฟล่างอย่างเดียว หน้ามันจะได้ไม่เหี่ยวเหมือนยายแก่อายุ 70 ปี ที่ไม่ผ่านการฉีดโบทอกซ์ ไม่รอช้ารีบไปบำบัดอาการจิตตกที่ติดมาจากโรงพยาบาลด้วยการจัดนัดล้างตาอบมาคาฮองอีกรอบ แต่รอบนี้ขอเสริฟเป็นแบบกึ่งคาวกึ่งหวาน ด้วยการอัดฉีดเบคอนกรอบ และชีสขูดฝอยลงไปในน้ำสลัดเลมอน พยายามหลอกตัวเองและคนร่วมรับประทานว่าเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ (มั้ง)

มาคาฮอง (เปลือก)
ไข่ขาว            50 กรัม (ทิ้งไว้นอกตู้เย็น 2 วัน)
น้ำตาลทราย        15 กรัม
อัลมอนด์สไลด์หรือป่น  70 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง        100 กรัม
สีผสมอาหาร        1/4 ช้อนชา
(พยายามใช้สีผงจะได้ไม่ไปเพิ่มความชื้นให้มาคาฮอง วันนี้ใช้สีเหลือง)
วิธีทำ
จัดการนำกระดาษซิลิโคนรองอบปูบนถาดอบเอาไว้ ติดหัวบีบแบบกลมไว้ในถุงบีบรอไว้
นำอัลมอนด์ปั่นรวมกับน้ำตาลไอซิ่งจนละเอียด ร่อน 2 ครั้ง ผิวของมาคาฮองจะได้เนียน
นำไข่ขาวใส่ในชามแห้ง ไร้คราบไขมัน ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองละเอียดเล็กๆ ทะยอยใส่น้ำตาลลงไป ตีให้ตั้งยอดอ่อน เติมสีผงลงไป ตีต่อให้สีพอสม่ำเสมอ อย่าตีให้ไข่ขาวตั้งยอดเลยยอดกลาง เดี๋ยวมาคาฮองจะเหนียวหนึบ


จากนั้นแบ่งส่วนของอัลมอนด์เป็นสามส่วน ทะยอยลงไปตะล่อมให้เข้ากัน เสร็จแล็วก็ตักใส่ถุงบีบที่เตรียมไว้ บีบหยอดลงบนถาด (ส่วนใหญ่มืออาชีพเค้าจะวาดรูปวงกลมตามขนาดมาคาฮองที่ต้องการเอาไว้ จะได้ง่ายต่อการหยอด แต่เราขี้เกียจจัด บีบไปเลยตามมีตามเกิด เล็กบ้างใหญ่บ้าง กะน้ำหนักมือเอา)บีบหยอดให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว เพราะเดี๋ยวมันจะแผ่ออกอีกนิด จับถาดกระแทกแรงๆ ซักสองสามครั้ง เพื่อไล่ฟองอากาศในมาคาฮองออก อบออกมาแล้วจะได้ไม่ปูดๆ กลวงๆ หลังจากนี้ก็พักผิวหน้าของมาคาฮองให้แห้ง แบบที่เวลาเอานิ้วไปแตะแล้วไม่ติดนิ้วขึ้นมา (อันนี้สำคัญมาก เพราะมาคาฮองจะได้มีกะโปรงที่สวยงาม หน้าไม่แตกยับเยิน) เวลาที่พักผิวก็ประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วแต่สภาวะความชื้นในอากาศ แล้วค่อยเปิดเตาอบที่ 150 องศาเซลเซียส ไฟบนและล่าง (ตามที่กูรูแนะนำ) รอให้ความร้อนทั่วถึงประมาณ 10 นาที แล้วค่อยนำถาดมาคาฮองเข้าเตาอบ วางถาดไว้ชั้นกลาง อบแบไฟบนล่างประมาณ 2 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็นไฟล่างอย่างเดียวอีก 8 นาที(อันนี้แล้วแต่เตาอีกเช่นเคย แนะนำให้นั่งเฝ้าอีกแล้ว ถ้าทำมากกว่าหนึ่งถาดก็ทะยอยอบเอา เคยอบพร้อมกันแล้วเจ๊ง)

เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นค่อยแกะออกจากกระดาษรองอบ เลือกเอาไซส์ใกล้เคียงมาประกบกันจะได้แลดูมืออาชีพ สุดท้ายจัดการใส่ใส้

ใส้ครีมสลัดเลมอน เบคอนและชีส
น้ำสลัดน้ำใสเลมอน     10 ช้อนโต๊ะ (อันนี้ทำไว้ติดบ้านตลอดไว้ค่อยบอกสูตรทีหลัง)
ไข่แดง                 1 ฟอง
นม                    2 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด            1 ช้อนโต๊ะ
เบคอนทอดกรอบป่น     3 ช้อนโต๊ะ
ชีสขูดฝอย              3 ช้อนโต๊ะ (เลือกชนิดที่เค็มน้อย วันนี้ใช้ colby swiss cheddar)
วิธีทำ
นำไข่แดง นม และแป้งข้าวโพดใส่ลงในชามสเตนเลส ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน เติมน้ำสลัดลงไปคนให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นนำขึ้นต้องไฟอ่อน คนตลอดเวลาจนเป็นครีมข้น ยกลงจากเตา พักให้เย็น เติมเบคอนกรอบ และชีสลงไป คนให้เข้ากัน จัดการนำไปใส่เป็นใส้มาคาฮอง



ส่วนตกแต่ง
ฟิลเลซ์ไอซ์เบิร์ก หรือผักสลัดชนิดอื่นตามชอบ
ชีสขูดเป็นเส้น
วิธีทำ
จัดจานให้สวยงามด้วยฟิลเลซ์ไอซ์เบิร์ก หรือผักสลัดชนิดอื่นตามชอบ วางมาคาฮองลงไป โรยด้วยชีสขูดเส้น หยิบเข้าปากแบบพ่วงผักเข้าไปด้วยนะค้าถึงจะเรียกว่าเพื่อสุขภาพ


 อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/06/24

Magenta macarons with white chocolate raspberry cream cheese filling


ตั้งใจทำเจ้าขนมพิเศษนี้ให้หนุ่มน้อยที่รักที่สุดในชีวิต เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับภารกิจใหญ่ที่จะต้องเผชิญ พรุ่งนี้แล้วซินะที่คุณหมอนัดให้แสบพี่ไปเข้ารับการผ่าตัดเฉือนต่อมทอนซิลออก ในวัยแค่หกขวบเศษๆ ทั้งๆที่พยายามประคับประคอง ยึดยื้อมาเป็นเวลานาน แต่หากนานกว่านี้คงไม่ดีแน่ เหตุเพราะเวลานอนหลับไม่สนิท กรนหนักตลอดเวลา แถมพ่วงด้วยหยุดหายใจอีกตะหาก (คืนๆนึงตั้ง 6 ถึง 7 ครั้งแน่ะ) คุณหมอบอกว่าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ คุณภาพชีวิตของลูกจะตกต่ำ สมาธิสั้น (คิดว่าตอนนี้ก็คงจะอยู่ในข่ายนี้ไปแล้ว) และอื่นๆ อีกสารพัดที่ล้วนแล้วแต่น่าตกใจทั้งนั้น
ตอนแรกคุณแม่ซื่อบื้อเยี่ยงเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกนอนกรนหนักถึงขนาดหยุดหายใจ กว่าจะสำเหนียกได้ก็ตอนที่คลอดแสบน้องออกมา ต้องตื่นให้นมทั้งคืนเลยเห็นว่าแสบพี่กรนหนักมากบางครั้งก็หยุดหายใจปเฉยๆ แรกๆถึงกับไม่กล้าหลับ ร้องให้ทุกวันเพราะกลัวลูกจะเป็นอะไร สงสารลูกมาก  คอยพลิกตัวให้ทั้งคืนเพื่อหาท่านอนที่ทำให้กรนน้อยที่สุด เป็นอย่างนี้มาตลอด 2 ปี เคยไปเข้ารับการตรวจเช็คการนอนหลับเมื่อปีที่แล้ว ผลที่ออกมาก็เป็นไปตามคาด คุณหมอแนะนำให้ตัดออกซะ แต่ด้วยความเป็นแม่ ทำให้ไม่อยากเสี่ยง กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมดจำต้องปฏิเสธไป ให้ความหวังกับตัวเองไปวันๆ ว่าถ้าลูกโตขึ้นก็จะดีขึ้นเอง ถ่วงเวลามาเกือบปีก็ไม่มีสัญญาณที่ดีเลย คุณสามีทนไม่ไหวเลยลากไปหาคุณหมอใหม่อีกครั้ง สุดท้ายท้ายสุดก็จนแก่เหตุและผลด้วยประการทั้งปวง จำต้องเซ็นอนุญาต ลำบากใจอยู่ต้ังนานว่าจะกล่อมแกมบังคับลูกยังไงให้ยอม คิดมุก หาลูกล่อลูกชน อยู่ตั้งหลายวัน เอาเข้าจริงๆ เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังวลอะไรมากมาย แถมยังปากดีเร้าๆ ให้ถึงวันที่คุณหมอนัดไวๆ งงค่ะงง เลยเรียกมาไขข้อข้องใจว่าทำไมกระเหี้ยนกระหือรือนัก ไม่รู้ว่าจะน่าขำหรือน่าฆ่าดี กับคำตอบที่ว่า คุณหมอบอกว่าถ้าผ่าตัดเสร็จแล้ว จะได้กินไอติมและก็ของเย็นๆทุกอย่างที่ไม่เคยได้กินมาตั้งนาน เพราะกินทีไรไม่สบายทุกครั้ง ทำให้ยิ่งกรนหนักและหยุดหายใจบ่อยขึ้นไปอีก โถๆๆๆๆๆ เด็กหนอเด็กจะรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง
เวลาทำมาคาฮองตอนกลางคืนทีไร มาคาฮองที่ได้เป็นต้องย่ำแย่ทุกครั้งไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะง่วงนอนรีบร้อนเอาออกจากเตาเร็วไป เลยทำให้หน้าเหี่ยวเฉาเยี่ยงนี้ แอบเซ็งมากๆ ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าทำขั้นตอนไหนพลาดไปเน้อ
มาคาฮองสีแดงอมม่วง (เปลือก)
ไข่ขาว            50 กรัม (ทิ้งไว้นอกตู้เย็น 2 วัน)
น้ำตาลทราย        15 กรัม
อัลมอนด์สไลด์หรือป่น 70 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง       100 กรัม
สีผสมอาหาร       1/2 ช้อนชา
(พยายามใช้สีผงจะได้ไม่ไปเพิ่มความชื้นให้มาคาฮอง วันนี้โปรยสีแดงอมม่วงลงไป)
วิธีทำ
จัดการนำกระดาษซิลิโคนรองอบปูบนถาดอบเอาไว้ ติดหัวบีบแบบกลมไว้ในถุงบีบรอไว้
นำอัลมอนด์ปั่นรวมกับน้ำตาลไอซิ่งจนละเอียด ร่อน 2 ครั้ง ผิวของมาคาฮองจะได้เนียน
นำไข่ขาวใส่ในชามแห้ง ไร้คราบไขมัน ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองละเอียดเล็กๆ ทะยอยใส่น้ำตาลลงไป ตีให้ตั้งยอดอ่อน เติมสีผงลงไป ตีต่อให้สีพอสม่ำเสมอ อย่าตีให้ไข่ขาวตั้งยอดเลยยอดกลาง เดี๋ยวมาคาฮองจะเหนียวหนึบ

จากนั้นแบ่งส่วนของอัลมอนด์เป็นสามส่วน ทะยอยลงไปตะล่อมให้เข้ากัน เสร็จแล็วก็ตักใส่ถุงบีบที่เตรียมไว้ บีบหยอดลงบนถาด (ส่วนใหญ่มืออาชีพเค้าจะวาดรูปวงกลมตามขนาดมาคาฮองที่ต้องการเอาไว้ จะได้ง่ายต่อการหยอด แต่เราขี้เกียจจัด บีบไปเลยตามมีตามเกิด เล็กบ้างใหญ่บ้าง กะน้ำหนักมือเอา) บีบหยอดให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว เพราะเดี๋ยวมันจะแผ่ออกอีกนิด จับถาดกระแทกแรงๆ ซักสองสามครั้ง เพื่อไล่ฟองอากาศในมาคาฮองออก อบออกมาแล้วจะได้ไม่ปูดๆ กลวงๆ หลังจากนี้ก็พักผิวหน้าของมาคาฮองให้แห้ง แบบที่เวลาเอานิ้วไปแตะแล้วไม่ติดนิ้วขึ้นมา (อันนี้สำคัญมาก เพราะมาคาฮองจะได้มีกะโปรงที่สวยงาม หน้าไม่แตกยับเยิน) เวลาที่พักผิวก็ประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วแต่สภาวะความชื้นในอากาศ แล้วค่อยเปิดเตาอบที่ 150 องศาเซลเซียส ไฟล่างอย่างเดียว รอให้ความร้อนทั่วถึงประมาณ 10 นาที แล้วค่อยนำถาดมาคาฮองเข้าเตาอบ วางถาดไว้ชั้นบนสุดให้ห่างความร้อนมากที่สุด จะช่วยให้ผิวหน้าของมาคาฮองไม่แตก อบประมาณ 12-15 นาที (อันนี้แล้วแต่เตาอีกเช่นเคย แนะนำให้นั่งเฝ้าอีกแล้ว ถ้าทำมากกว่าหนึ่งถาดก็ทะยอยอบเอา เคยอบพร้อมกันแล้วเจ๊ง)
เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นค่อยแกะออก เลือกเอาไซส์ใกล้เคียงมาประกบกันจะได้แลดูมืออาชีพ สุดท้ายจัดการใส่ใส้

ใส้ไวท์ช็อคโกแลตราสเบอร์รี่ครีมชีส
ไวท์ช็อคโกแลต     50 กรัม
ครีมชีส             50 กรัม
ราสเบอร์รี่เพียวเร่    10 มล.
วิธีทำ
พักครีมชีสที่อุณหภูมิห้องให้นิ่ม
ละลายไวท์ช็อคโกแลตด้วยการนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 15 วินาที นำออกมาคนให้เนียน ใส่ครีมชีสและราสเบอร์รี่เพียวเร่ลงไป คนให้เข้ากัน ตักใส่ถุงบีบ จัดการใส่ใส้ให้มาคาฮอง


ส่วนตกแต่ง
ราสเบอร์รี่สด
ดาร์คช็อคโกแลต
น้ำตาลเม็ดสีทอง
วิธีทำ
บีบใส้ลงบนเปลือกมาคาฮอง วางราสเบอร์รี่ลงไป ประกบคู่มาคาฮอง
ละลายดาร์คช็อคโกแลตโดยใช้ไมโครเวฟประมาณ 15 วินาที นำออกมาคนให้เนียน ตักใส่ถุง บีบตกแต่งบนมาคาฮอง แล้วจัดการวางน้ำตาลเม็ดให้สวยงาม



2011/06/21

Horlicks wafer rare cheesepie, no need to waste your time with oven


ช่วยด้วยค่าพ่อแม่พี่น้อง อากาศที่นี่ร้อนมากถึงมากที่สุด โอ๊ย!!!! งุ่นง่านจะลงแดงตาย อยากทำขนมแต่ไม่อยากยุ่งกับเตาอบ กลัวไขมันใต้ผิวหนังละลาย เดี๋ยวเพรียวลงแล้วคุณสามีไม่เลิฟๆ เหมือนเดิม ในภาวะบีบคั้นแบบนี้จะทำอะไรกินดีน้อ เอาแบบที่กินได้ทั้งครอบครัวตั้งแต่คุณผัวยันคุณลูก ลงไปคุ้ยห้องครัวหาไอเดียดีกว่า เจอแล้ว บ่มไว้ได้ที่พอดี คุณน้องฮอร์ลิกส์ เห็นใครๆเค้ากำลังฮิตจริงฮิตจัง ไม่ว่าจะบ่ายหน้าเข้าร้านไหนก็ต้องมีเจ้านี่เป็นซิกเนเจอร์ดิช เอากะเค้ามั่งเดี๋ยวหลุดกระแส อย่าเสียเวลาเมาท์มอย จัดไป จัดให้หนัก จัดเต็ม
วันนี้มีผู้ช่วยกิติมาศักดิ์ที่ไม่ชอบให้ปาปาราสซี่จับภาพซักเท่าไหร่ เป็นใครไปไม่ได้ก็แสบพี่ไง อาสามาช่วยป่วนเพิ่มดีกรีความร้อนในครัวให้สูงขึ้นอีกนิด ทำเสร็จยังไม่ทันรอให้เค้กเซตตัว เจ้าตัวดีก็มาออดอ้อนออเซาะขอตัดชิม เดือดร้อนคุณแม่คนดีที่หนึ่งเป็นธุระจัดการให้ ชีสพายที่ได้เลยบูดๆเบี้ยวๆ อย่างที่เห็น แต่รสชาดไม่บูดเบี้ยวแบบรูปร่างภายนอกนะจะบอกให้ คอนเฟิร์มค่า



ฮอร์ลิกส์แครกเกอร์ครัสท์
แครกเกอร์เค็ม       150 กรัม
อัลมอนด์อบ         100 กรัม
ฮอร์ลิกส์             50 กรัม
เนยละลาย           70 กรัม
วิธีทำ
นำแครกเกอร์และอัลมอนด์ใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด เทลงในชามผสม ใส่ผงฮอร์ลิคลงไปเคล้าให้เข้ากัน เติมเนยละลายลงไปคนผสมให้เข้ากันดี ส่วนผสมที่ได้จะเหมือนกับทรายเปียกๆ นำเอาไปกรุที่ฐานของพิมพ์ วันนี้ใช้พิมพ์มูสทรงกลมค่า นำเข้าตู้เย็นรอไว้


ฮอร์ลิกส์เวเฟอร์ชีสครีม
ชีสมาสคาร์โปน       250 กรัม
วิปปิ้งครีม            250 มล.
น้ำตาลทราย           3 ช้อนโต๊ะ
ฮอร์ลิกส์            100 กรัม
เวเฟอร์ช็อคโกแลต    75 กรัม (ใช้ของล็อคเกอร์ค่า)
วิธีทำ
หักเวเฟอร์เป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้
นำชีสมาสคาร์โปนและฮอร์ลิกส์ใส่ลงในชามผสม คนให้เข้ากัน
นำวิปปิ้งครีมและน้ำตาลทรายใส่ในชามสเตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้ฟูตั้งยอดกลางถึงแข็ง แบ่งวิปปิ้งครีมที่ตีแล้วออกมาหนึ่งในสาม ตะล่อมลงในส่วนของชีสให้เข้ากัน


เทกลับลงไปผสมกับส่วนของวิปปิ้งครีมที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ใส่เวเฟอร์ลงไป ตะล่อมให้พอเข้ากัน เทส่วนของครีมที่ได้ลงไปบนฐานแครกเกอร์ที่พักไว้ในตู้เย็น เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าช่องแช่แข็งประมาณ 1 ชั่วโมง


ช็อคโกแลตกานาซ
ช็อคโกแลตนม       100 กรัม
วิปปิ้งครีม            100 มล.
วิธีทำ
นำช็อคโกแลตและวิปปิ้งครีมใส่ลงในชาม นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 30-40 วินาที นำออกมาคนให้ละลายเข้ากันดี

ส่วนตกแต่ง
ช็อคโกแลตกานาซ
ช็อคโกแลตบอล
ไวท์ช็อคโกแลตนิดหน่อย
วิธีทำ
นำชีสพายออกมาจากช่องแช่แข็ง ราดช็อคโกแลตกานาซลงให้ทั่ว วางช็อคโกแลตบอลลงไป
ละลายไวท์ช็อคโกแลตโดยใช้ไมโครเวฟประมาณ 10 วินาที 2 ครั้ง นำออกมาคนให้เนียน ใส่ลงไปในถุงพลาสติก ตัดปลายถุงให้เป็นรูเล็กๆ บีบตกแต่งบนช็อคโกแลตบอลให้สวยงาม ง่ายมั้ยค้า ที่เหลือก็แค่นำเข้าตู้เย็นรอให้กานาซเซตตัวซักครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็กะเกณฑ์ผู้คนมาเชยชมก่อนตัดแจกจ่ายสมาชิกค่า




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/06/18

Let's celebrate my dear valentine's birthday with berry roll-away cake


ตั้งแต่เมื่อ 12 ปีที่แล้วเป็นต้นมา ได้มีวันพิเศษในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวัน นอกเหนือจากวันเกิดตัวเอง และพ่อแม่พี่น้อง ก็มีวันเกิดของคุณสามี ก็คือวันนี้วันที่ 19 มิถุนายน มูลค่าทางวัตถุของของขวัญที่ให้ลดน้อยลงตามกาลเวลา (เนื่องจากความงกของศรีภรรยา) แต่ความพิเศษและคุณค่าทางจิตใจเพิ่มขึ้นตลอดค่า (อันนี้เหมารวมเอาเอง ปีนี้มีแค่เค้กและคำอวยพรแค่นั้น) จริงๆแล้วความรู้สึกที่มีมันบรรยายได้ไม่หมด มันเป็นทั้งความรัก ความห่วงใยและก็ความผูกพันที่เพิ่มมากขึ้น (แบบต้องโทรจิกให้กลับบ้านทุกเย็นเป็นเวลา) ไม่ถึงกับดูดดื่มชวนหลงไหลเหมือนตอนวัยเด็ก แต่ขาดกันไม่ได้ว่างั้น
ปีนี้ก็เหมือนเดิมชวนน้องนุ่งพี่ป้าน้าอามาปาร์ตี้ที่บ้าน ทุ่มทุนสร้างทำกับข้าว เตรียมเหล้ายาปลาปิ้งไว้พร้อม ด้วยความที่เป็นงานยักษ์ สมาชิกเยอะมากกกก เลยต้องทำเค้กถึงสามก้อน แต่ก้อนที่เลือกมาออกอากาศนี้พิเศษสุดเพราะเป็นของคุณสามีคนเดียว

สปันจ์เค้ก
แป้งเค้ก        55 กรัม
แป้งข้าวโพด     5 กรัม
น้ำตาล         55 กรัม
ไข่             2 ฟอง (แยกไข่แดง-ขาว)
เนย           10 กรัม
นม            10 มล.
น้ำมัน          10 มล.
วานิลลา        1/2 ช้อนชา
เกลือ          1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้งทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส
นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง ใส่ไข่แดงทีละฟองตีให้เข้ากัน เติมวานิลลาลงไป ตีให้เข้ากัน


ทะยอยเติมแป้งลงไป ตะล่อมให้เข้ากันดี
 

เทน้ำมันใส่ชามอีกใบ นำนมกับเนยเข้าไมโครเวฟนาน 20 วินาที แล้วนำมาเทผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากันจากนั้นแบ่งหนึ่งในสามของส่วนผสมของไข่กับแป้งมาตะล่อมกับส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับไปผสมกับส่วนผสมของไข่กับแป้งที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่ถาดอบ เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที นำออกมาใช้มีดปลายแหลมกรีดรอบพิมพ์ คว่ำเค้กลงบนผ้าสะอาด (ใช้ผ้าอ้อมของลูกง่ายดี) แล้วม้วนเป็นโรลให้แน่น พักให้เย็น

* การที่ทำให้ส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันอุ่นขึ้น จะช่วยให้ผสมเข้ากับส่วนผสมของไข่กับแป้งได้ดีขึ้น ไม่ตกไปอยู่ก้นพิมพ์แล้วทำให้เค้กด้านล่างแข็งเป็นไต นอกจากนี้การแบ่งส่วนของแป้งกับไข่มาผสมกับส่วนของนม เนย และน้ำมัน ก็มีส่วนช่วยให้ผสมได้ง่ายเช่นเดียวกัน*

ครีมราสเบอร์รี่
วิปปิ้งครีม         200 กรัม
ราสเบอร์รี่เพียวเร่    30 มล.
น้ำตาล             5 ช้อนโต๊ะ
เจลาติน           1/2 ช้อนชา
น้ำสะอาดเย็น        1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
บลูมเจลาตินโดยนำใส่ลงไปในน้ำเย็น ทิ้งไว้จนเจลาตินซับน้ำแล้วพองตัว นำเข้าไมโครเวฟนาน 10 วินาที แค่พอให้เจลาตินละลาย เทลงในส่วนของราสเบอร์รี่เพียวเร่ เติมน้ำตาลลงไป คนผสมให้เข้ากันจนน้ำตาลทรายละลายหมด
ตีวิปปิ้งครีมให้ตั้งยอดกลางถึงแข็ง ทะยอยเทส่วนของราสเบอร์รี่ลงไป ตะล่อมให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นรอใส่เป็นใส้ของเค้กโรล


ครีม Chantilly
วิปปิ้งครีม       200 มล.
น้ำตาลไอซิ่ง     20 กรัม
เกลือ          1/8 ช้อนชา
วานิลลา        1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
ทุกอย่างใส่รวมกันในชามสเตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีจนตั้งยอดกลางถึงแข็ง พักไว้ในตู้เย็น
*วิปปิ้งครีมที่ใช้ต้องเย็นจัดถึงจะตีให้ขึ้นฟูง่าย หากอากาศร้อนมากให้รองก้นภาชนะที่ใส่วิปปิ้งครีมชามใส่น้ำแข็ง เกลือป่น และน้ำเล็กน้อยระหว่างที่ตีวิปปิ้งครีม*

ส่วนตกแต่ง
ครีมราสเบอร์รี่
ครีม Chantilly
สตรอเบอร์รี่หั่น
ลูกหม่อน
เชอร์รี่น้ำผึ้งแคะเม็ดออกแล้วหั่น
เม็ดน้ำตาลตกแต่ง
เกล็ดน้ำตาลตกแต่ง
ผลไม้สดสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ
คลายเค้กที่ม้วนไว้ออกมา ทาครีมราสเบอร์รี่ให้หนาประมาณหนึ่งเซนติเมตรให้ทั่วเค้ก เรียงผลไม้ที่หั่นแล้วลงไป พยายามม้วนเค้กให้แน่น โปะรอบเค้กที่ม้วนแล้วด้วยครีม Chantilly นำเข้าตู้เย็นให้อยู่ตัวประมาณ 6  ชั่วโมง หรือข้ามคืน นำออกมาตัดขอบข้างให้สวยงาม ตกแต่งด้านบนด้วยผลไม้สด เม็ดน้ำตาล และเกล็ดน้ำตาล แอบเอาไว้รอเซอร์ไพร์สในตู้เย็นที่ห้ามใครเปิด





อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/06/17

Chicken farm baker's project #35 : Sweet enhancer ; Toasted banana crumb cake with coconut irish cream sauce


ทั้งๆที่ตั้งหน้าตั้งตารอสุดฤทธิ์กับเมล์ตอบรับเข้าเป็นสมาชิกฟาร์มไก่ แต่ยังไม่วายพลาดลืมเกาะติดกล่องรับข้อความไปถึง 4 วันเต็มๆ รู้สึกตะหงิดๆ เหมือนกิจวัตรในชีวิตประจำวันมันขาดๆ หายๆ ไปหนึ่งอย่าง แต่สมองเจ้ากรรมมันดันฝ่อก่อนวัยอันควร มันคิดไม่ออกซักทีว่าลืมอะไรไป จนกระทั่งกลางดึกของวันเกือบสิ้นเดือน หลังจากให้แสบพี่หัดอ่านนิทานก่อนนอนให้ฟัง ส่งกูดไนท์คิสตบท้าย แล้วก็โบกมือบ้าย บาย หยอยๆ คุณสามีสุดที่เลิฟที่ทำตาละห้อยอยู่บนเตียง ล้มตัวลงนอนหันบั้นท้ายเท่ากะละมังให้ ตาปรือกำลังจะเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่รอมร่อ ก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า ไอ้ที่ว่าลืมนั้นมันก็คือลืมเช็คเมล์นั่นเอง สปริงตัวเด้งดึ๋งขึ้นจากเตียงด้วยความว่องไว คุณสามียิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกว่าศรีภรรยาจะเห็นใจจัดของขวัญชุดใหญ่ให้ เปล่าค่าเปล่า รีบจัดแจงเปิดโน๊ตบุคตะหาก กระดิกนิ้วสองสามทีก็ปรากฏเมล์ที่รอคอยจากเลขาของฟาร์มไก่ ตัวงี้ลอยแทบจะติดบนฝ้าเพดานขาดอีกแค่กระเบียดนิ้วเพราะน้ำหนักตัวเกินพิกัดอยู่ รีบตกลงตอบรับเป็นสมาชิกทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา (ก็แค่เค้าตอบรับก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ยังจะมาเล่นตัวพิรี้พิไรอีกก็ใช่ที่ เดี๋ยวเกิดเค้าเปลี่ยนใจเป็นได้หงายเหงือกกันพอดี)
ลนลานเข้าไปดูบล็อคคุณครูเค้าแจกการบ้านตั้งต่วันที่ 25 แล้ว แม่เจ้าโว้ยนี่มันก็ปาไปตั้งวันที่ 30 แล้ว จะทำเยี่ยงใดดี อกอีแป้นจะแตก ใจมันเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ประสาทจะกินเอา โจทย์ที่ได้ก็น่ารักน่าทำ ตัวเค้กให้มีผลไม้อะไรก็ได้อยู่ด้วย ให้รับทานเข้าคู่กันกับซอสที่ต้องทำเอง เหมือนจะง่ายแต่ทำไมมันยากจัง แถมยังแอบนอยด์เล็กๆ ที่ดันเข้าไปอ่านกฎกติกามารยาทแล้วยังหัวขี้เลื่อยไม่เข้าใจอีกว่าเส้นตายส่งการบ้านเค้านับกันยังไง แล้วเราจะต้องส่งวันไหน เอาไงเอากันรีบปั่นการบ้านให้เร็วก่อนเป็นดี เสร็จก่อนแปะก่อน ชนะเลิศ (หุหุหุ เอาสีข้างคิดแทนสมอง เริ่ด)
ครั้งแรกทั้งทีคิดว่าจะจัดให้เต็ม จัดไป จัดให้หนัก แป่ววววว!!!! เอาเข้าจริงก็ต้องพับเมกกะโปรเจ็คที่วาดฝันไว้ คืนสู่สามัญดีกว่า วันพระที่ผ่านมาที่บ้านไหว้กล้วยน้ำว้าตั้ง 6 หวี ถ้าให้กินเฉยๆ ก็คงเอียนกันพอดี พี่ชายสามีเค้าเจ้ากี้เจ้าการเอาไปปิ้ง อร่อยแฮะ เลยปิ๊งไอเดียแบบเอสเอ็มอีตีแตก ขอแบ่งมาทำเป็นขนมส่งการบ้านซะเลย เป็นเค้กกล้วยปิ้ง  ที่พิเศษหน่อยด้วยการโรยหน้าด้วยอัลมอนด์ครัมป์ก่อนเข้าอบเพื่อที่เวลาเคี้ยวแล้วจะได้มีความกรุ่บกรอบ ส่วนซอสก็มีนั่งอยู่ในใจแล้วจะเคี่ยวกะทิกับน้ำตาลปี๊บแล้วหย่อน Baileys ลงไปให้มีกลิ่นอายของไอริชครีมแบบฝรั่งอยู่ด้วย
ปล. ต้องเอาตัวเลขโปรเจกต์ไปต่อยอดกะเจ้ามืองวดนี้ซะแล้ว ถือว่าเป็นเลขนำโชค (เหอ เหอ เหอ แหย่ขาหนึ่งข้างเข้าตารางซะแล้วเรา)

อัลมอนด์ครัมป์
แป้งอเนกประสงค์   50 กรัม
น้ำตาลทราย       50 กรัม
เนยสด            30 กรัม
อัลมอนด์          30 กรัม
เกลือ            1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
ตัดเนยเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในชามผสม
นำแป้งอเนกประสงค์ น้ำตาลทราย อัลมอนด์ และเกลือ รวมใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดเข้ากัน เทลงในชามผสมที่มีเนยอยู่ ใช้ส้อมตัดเนยกับแป้งให้เป็นก้อนเล็กๆ คล้ายขนมปังป่น พักไว้ในตู้เย็น


เค้กกล้วยปิ้ง
แป้งอเนกประสงค์           75 กรัม
เนยสด                    50 กรัม
ไข่                         1 ฟอง
น้ำตาลทรายแดงป่น         50 กรัม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ         50 กรัม
กล้วยน้ำว้าปิ้งหั่นเต๋า         2 ลูก
วานิลลา                   1/2 ช้อนชา
เกลือ                     1/8 ช้อนชา
ผงฟู                      1/4 ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา               1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดา เข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส รอไว้ (ในรูปส่วนผสมลืมไข่กับวานิลลาค่า)


ในชามเล็กใช้ส้อมคนไข่ วานิลลา และเกลือให้พอเข้ากัน ในชามสเตนเลสใช้เครื่องตีแบบมือถือตีเนยกับน้ำตาลทรายแดงให้ขึ้นฟู


ทะยอยใส่ส่วนของไข่ลงไปทีละนิด ตีเนียนให้เข้ากัน แบ่งแป้งออกเป็นสามส่วน โยเกิร์ตสองส่วน ใส่แป้งลงในส่วนผสมของเนยกับไข่ทีละส่วน ตะล่อมให้เข้ากันดีก่อนใส่โยเกิร์ต ทำสลับจนจบที่ส่วนผสมของแป้ง
  
เทใส่พิมพ์ โรยหน้าด้วยกล้วยที่หั่นไว้ ใช้ไม้พายกดพอให้จมลงในเนื้อเค้ก โปะหน้าด้วยอัลมอนด์ครัมป์ที่พักเอาไว้ในตู้เย็น นำเข้าเตาอบประมาณ 40 นาที หรือจนสุกเมื่อเอาไม้จิ้มแล้วไม่มีเศษขนมแฉะๆ ติดออกมาด้วยเป็นอันใช้ได้ 



 
ซอสกะทิไอริชครีม
น้ำตาลปี๊บ        50 กรัม
หัวกะทิ          100 กรัม
Baileys          1 ช้อนโต๊ะ
เนยสด           1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ           1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
นำน้ำตาลปี๊บ และเกลือใส่หม้อขึ้นตั้งไฟอ่อนโดยไม่ต้องคนจนละลายกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน เทกะทิลงไป เคี่ยวให้ซอสข้นขึ้น ยกลงจากเตา เติมเนยสดลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้จนอุ่น เติม Baileys ลงไป คนให้เข้ากัน


ส่วนตกแต่ง
ซอสกะทิไอริชครีม
หัวกะทิ
วิธีทำ
ราดซอสบนจาน หยดหัวกะทิเป็นจุดเล็กๆ ใช้ปลายมีดลากให้เป็นรูปหัวใจ ตัดเค้กออกเป็นชิ้นตามชอบ วางลงบนซอส จัดการสำเร็จโทษในทันทีค่า


อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/06/09

Japan mania; Matcha azuki montblanc


ทุกๆวันศุกร์คุณแม่บ้านเค้าจะเก็บกวาดบ้านครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ไหนหรอก เป็นเพราะทุกวันเสาร์ตอนเย็นที่นี่จะมีปาร์ตี้ขนาดย่อมกันต่างหาก สมาชิกก็หน้าเดิมๆ คุณพ่อคุณแม่ของคุณสามี ครอบครัวของพี่ชายคุณสามี และก็ครอบครัวคุณน้องสาวของสามีนั่นแหละ เบ็ดเสร็จรวมแล้วก็ทั้งหมดแค่เกือบ 20 ชีวิตเอง จิ๊บๆ
ผลพวงจากการเก็บกวาดรอบนี้ ทำให้ได้ของใกล้หมดอายุอีกหลายอย่าง คุณแม่บ้านเค้าคงจะเอือมระอา ว่าจะขนซื้อมาซุกเอาไว้รอเน่าทำไมตั้งเยอะแยะ เลือกไม่ถูกว่าจะสังคยานาอันไหนก่อนดี มันละลานตาไปหมด ทำให้ง่ายเข้าไว้ ดูฉลากบอกวันหมดอายุนั่นแหละแจ่ม อันไหนใกล้ฝั่งเต็มทีก็มีสิทธิ์ก่อน จากผู้เข้าประกวดร่วมสิบ มีคุณน้องถั่วแดงกวนนี่แหละชนะขาด เวลาของคุณน้องเค้าเหลือน้อยเต็มที ต้องหาตัวช่วยขัดสีฉวีวรรณให้คุณน้องเค้าเปล่งประกาย วิ้ง วิ้ง จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากท่านชาเขียวนั่นเอง (เล่นง่ายอีกแล้วเนอะ ลอกคนอื่นเค้ามาแบบเนียนๆตะหาก ไร้ซึ่งความคิดสร้างสรรค์) เมนูวันนี้เลยออกมาแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น อีกแล้วค่า อย่าเพิ่งเบื่อกันนะค้า

สปันจ์เค้กชาเขียว
แป้งเค้ก       55 กรัม
แป้งข้าวโพด     5 กรัม
ผงชาเขียว      1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล        55 กรัม
ไข่เบอร์2       3  ฟอง (แยกไข่แดง-ขาว  ถ้าเบอร์1 ก็ 2 ฟองก็พอค่า)
เนย           10 กรัม
นม            10 มล.
น้ำมัน          10 มล.
เกลือ          1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้งทั้งสองอย่าง ผงชาเขียว และเกลือเข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส


นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง ใส่ไข่แดงทีละฟองตีให้เข้ากัน


ทะยอยเติมแป้งลงไป ตะล่อมให้เข้ากันดี


เทน้ำมันใส่ชามอีกใบ นำนมกับเนยเข้าไมโครเวฟนาน 20 วินาที แล้วนำมาเทผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งหนึ่งในสามของส่วนผสมของไข่กับแป้งมาตะล่อมกับส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับไปผสมกับส่วนผสมของไข่กับแป้งที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ


เทใส่ถาดอบ เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที


นำออกมาพักไว้ให้พออุ่น คว่ำออกจากถาด ตัดเป็นรูปทรงตามต้องการ


* การที่ทำให้ส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันอุ่นขึ้น จะช่วยให้ผสมเข้ากับส่วนผสมของไข่กับแป้งได้ดีขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ก้นพิมพ์แล้วทำให้เค้กด้านล่างแข็งเป็นไต นอกจากนี้การแบ่งส่วนของแป้งกับไข่มาผสมกับส่วนของนม เนย และน้ำมัน ก็มีส่วนช่วยให้ผสมได้ง่ายเช่นเดียวกัน*

ถั่วแดงกวน
ถั่วแดงกวนสำเร็จรูป          300  กรัม
วิธีทำ
บดถั่วแดงกวนผ่านกระชอนให้ได้ส่วนที่ละเอียด 200 กรัม นำใสถุงบีบที่ติดหัวบีบมองบลังค์เอาไว้ ส่วนที่หยาบอีก 100 กรัม เก็บไว้ทำเป็นใส้ตรงกลาง


ครีม Chantilly ชาเขียว
วิปปิ้งครีม       200 มล.
ผงชาเขียว        1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ทุกอย่างใส่รวมกัน ใช้เครื่องตีมือถือตีจนตั้งยอดแข็ง นำใส่ถุงบีบที่ติดหัวบีบกลมเอาไว้

*ไม่ได้ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไปด้วยเพราะถั่วแดงกวนหวานมาก*
*วิปปิ้งครีมที่ใช้ต้องเย็นจัดถึงจะตีให้ขึ้นฟูง่าย หากอากาศร้อนมากให้รองก้นภาชนะที่ใส่วิปปิ้งครีมชามใส่น้ำแข็ง เกลือป่น และน้ำเล็กน้อยระหว่างที่ตีวิปปิ้งครีม*

ส่วนตกแต่ง
ถั่วแดงกวนแบบหยาบ
ถั่วแดงกวนแบบละเอียด
ครีม Chantilly ชาเขียว
วิปปิ้งครีมที่ตีจนฟูแล้วนิดหน่อย
ชาเขียวผง
วิธีทำ
ปั้นถั่วแดงกวนแบบหยาบเป็นก้อนกลมๆ วางบนเค้กชาเขียวที่ตัดเป็นชิ้นวงกลม บีบครีม Chantilly ชาเขียว ลงไปคลุมให้มิด เกลี่ยข้างให้เรียบ บีบถั่วแดงกวนแบบละอียดวนลงไปรอบๆ ตักวิปปิ้งครีมวางด้านบน โรยผงชาเขียวให้กิ๊บ แช่เย็นรอคนมารับช่วงต่อได้เลย



อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

Cherry blossoms cupcakes, my first play with fondant


ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบชีวิตการทำขนม ที่อาจหาญต่อกรกับเจ้าวัตถุสีขาวๆ มีคุณสมบัติยึดได้หดได้ตามใจต้องการ จะแปลงร่างให้มันพิสดารอย่างไรก็ได้ แถมยังเปลี่ยนสีได้ตามใจชอบอีกตะหาก ในอดีตที่ผ่านมาไม่คิดที่จะลองทำเลย ก็เพราะดันประเมินความสามารถตัวเองต่ำไปนิด (คือไม่มีฝีมือในการเสกสรรปั้นแต่งใดๆทั้งสิ้น ว่างั้น) แถมยังไม่ค่อยจะมีคนชอบทานฟอนแดนท์ซักเท่าไหร่ ก็เนื้อสมผัสมันแปลกๆ แถมหวานมากอีกตะหาก ก็จะไม่ให้มันหวานได้ยังไง ในเมื่อมีทั้งมาร์ชมาลโลว์ และก็น้ำตาลไอซิ่งเป็นทั้งพระเอกและนางเอกขนาดนี้ 
แต่กฎย่อมมีไว้แหกทุกอย่างมีข้อยกเว้น ก็คนมันใจง่ายนี่นา ดันเห็นหน้าปกหนังสือเล่มหนึ่งเข้าในโลกออนไลน์แล้วเกิดอาการหลงไหลได้ปลื้มอย่าแรง มันทั้งสวย น่ารักน่าทะนุถนอมมากๆ เป็นรูปเค้กชิ้นเล็กๆ สีชมพูหวาน มีดอกซากุระเล็กๆ ประดับโก้ๆ อยู่ด้านบน นั่งมอง นอนมอง จดๆจ้องๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไร้สติอยู่นานสองนาน จนคุณสามีนึกว่าฝันหวานถึงหนุ่มอื่น ส่งสายตาที่มีแต่เครื่องหมายคำถามมาให้ ไม่เป็นไรอย่าได้แคร์ เพราะเรามิได้ทำอะไรผิดนี่นาเนอะ
อย่างงี้ต้องหาข้อมูลกันยกใหญ่มาก ทุกอย่างเป็นไปได้แค่ปลายนิ้วจิ้ม เริ่มที่วิธีทำฟอนแดนท์ที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด เทคนิคการทำดอกซากุระอันงามงด แต่สิ่งที่หาไม่ได้โลกออนไลน์ก็คือจะเอาอะไรในบ้านมาประยุกต์ใช้เป็นอุปกรณ์ในการขึ้นรูปฟอนแดนท์กันดี ก็คนมันไม่อยากซื้ออุปกรณ์เสริมสำหรับแต่งองค์ทรงเครื่องฟอนแดนท์นี่นา มันชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่มีที่จะเก็บ (แค่เท่าที่มีอยู่ก็มากพอที่คุณแม่บ้านจะหาที่เก็บให้ไม่ไหว บางอันยังไม่เคยใช้ ซื้อมาเก็บไว้ก่อน แต่ดันหาไม่เจอซะงั้น) หาแทบตายสุดท้ายก็ได้ ไม้จิ้มลูกชิ้น ดรอปเปอร์สำหรับหยอดยาให้ลูก มีดที่ใช้ทำกับข้าวทุกวัน กรรไกรเก่าๆ พู่กัน พิมพ์คัพเค้กขนาดเล็ก และสุดท้ายก็ทิชชู่ เอาน่าไม่ลองไม่รู้ของแบบนี้ ไม่อยากบอกว่ามันได้ผลลัพธ์ที่ดีเลิศมาก
หากใครคิดจะทำฟอนแดนท์ไว้ใช้ต้องทำทิ้งไว้ข้ามวันถึงจะเอามาใช้ได้ ยังไม่พอหลังจากขึ้นรูปเสร็จก็ต้องผึ่งให้แห้งก่อนที่จะมาลงสี เสียเวลาไปเกือบสองวันเชียว แต่ผลที่ได้ถือว่าคุ้มค่าการรอคอย
มาร์ชมาลโลว์ฟอนแดนท์
มาร์ชมาลโลว์     110 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง      250 กรัม
น้ำสะอาด          2 ช้อนชา
เนยขาว         1/8 ถ้วยตวง (เผื่อทาบนโต๊ะที่จะนวด และมืออีกนิดหน่อย)
วิธีทำ
นำมาร์ชมาลโลว์ และน้ำใส่ชามเข้าไมโครเวฟประมาณ 30-40 วินาที นำออกมาคนให้เข้ากัน หากต้องการใส่สีก็สามารถผสมสีลงไปในขั้นตอนนี้ได้เลย

ใช้พายยางกวาดเทมาร์ชมาลโลว์ลงบนโต๊ะที่ทาด้วยเนยขาวเอาไว้ ทามือให้ทั่วด้วยเนยขาว เทไอซิ่ง และเนยขาวลงไป ลงมือนวดจนฟอนแดนท์เนียนไม่ติดโต๊ะและมือ ถ้าฟอนแดนท์ยังเหนียวติดมือใหทะยอยเพิ่มไอซิ่งทีละน้อย นวดต่อจนเนียน แต่ถ้ฟอนแดนท์แห้งเกินไปแบบว่าดึงแล้วขาดง่ายก็ให้เติมน้ำสะอาดลงไปทีละครึ่งช้อนชา แล้วนวดต่อจนเนียน

จากนั้นใช้พลาสติกแรปห่อฟอนแดนท์ที่ได้ให้มิดชิด นำใส่ถุงซิปล็อคอีกชั้น ป้องกันไม่ให้มันแห้ง แล้วทิ้งไว้นอกตู้เย็นข้ามคืน ก่อนนำมาใช้ให้นวดก่อนเพื่อให้คลายตัว จากนั้นก็นำมาขึ้นรูปตามต้องการ หากต้องการฟอนแดนท์หลากหลายสีก็ทำได้โดยการแบ่งฟอนแดนท์ออกมาล้วผสมสีที่ต้องการลงไ นวดให้สีเข้ากันดีกับฟอนแดนท์ ระหว่างรอใช้งานให้ใช้พลาสติกแรปห่อฟอนแดนท์ให้มิดชิดเพื่อไม่ให้มันแห้ง
ฟอนแดนท์รูปดอกซากุระ
ฟอนแดนท์สีขาว
ฟอนแดนท์สีชมพูเล็กน้อยสำหรับทำเกสร
สีผงสีชมพู
พู่กันเล็กสำหรับทาสี, ไม้ปลายแหลม, ดรอปเปอร์สำหรับหยอดยา, มีด, กรรไกร, พิมพ์คัพเค้กขนาดเล็ก และทิชชู่
วิธีทำ
เตรียมทำที่ผึ่งฟอนแดนท์รูปดอกซากุระโดยใช้ม้วนทิชชู่เป็นวงกลมให้มีรูตรงกลางคล้ายโดนัทลงในพิมพ์คัพคัพเค้กขนาดเล็ก ปั้นฟอนแดนท์สีขาวเป็นก้อนทรงหยดน้ำ ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มให้เป็นรูตรงกลาง

ใช้มีดบากให้เป็นรอยกลีบดอก 5 กลีบ ใช้กรรไกรตัดให้เป็นกลีบแยกออกมา แต่ไม่ให้ขาดออกจากขั้ว

ใช้มือจัดแต่งให้กลีบดอกกลมมน ใช้ส่วนที่โค้งมนของดรอปเปอร์กดกลีบดอกแต่ละกลีบให้แบนลงกับเล็บนิ้วโป้ง

จากนั้นใช้กรรไกรตัดปลายกลีบดอกแต่ละกลีบออกเป็นแฉก 2 แฉก
แล้วใช้ส่วนที่โค้งมนของดรอปเปอร์กดปลายกลีบดอกให้ดูพริ้วบาง กดตรงกลางดอกให้บุ๋มลงเล็กน้อยเพื่อใส่เกสร

ปั้นฟอนแดนท์สีชมพูให้เป็นลูกลมๆ ขนาดเล็กสำหรับเป็นเกสร
นำเกสรติดลงไปตรงกลางดอกโดยใช้น้ำสะอาดเล็กน้อยทาลงบนส่วนที่ต้องการจะติดเกสรเพื่อทำหน้าที่เหมือนกาวช่วยยึด นำดอกซากุระที่ได้วางลงบนที่ผึ่งที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้แห้ง

นำฟอนแดนท์รูปดอกซากุระที่แห้งแล้วมาแต่งสีเพิ่มด้วยการนำพู่กันป้ายสีผงสีชมพูเล็กน้อย มาปัดตกแต่งตรงกลางดอกให้สวยงาม นำไปแต่งสวยได้ตามสะดวก





สปันจ์เค้กวานิลลา
แป้งเค้ก           55 กรัม
แป้งข้าวโพด         5 กรัม
น้ำตาล            55 กรัม
ไข่ไก่เบอร์ 2         3 ฟอง (แยกไข่แดง-ขาว ถ้าเป็นเบอร์ 1  2 ฟองก็พอค่ะ)
เนย               10 กรัม
นม               10 มล.
น้ำมัน             10 มล.
วานิลลา          1/2 ช้อนชา
เกลือ            1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
เตรียมถ้วยคัพเค้กเรียงใส่ในพิมพ์
ร่อนแป้งทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส
นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง ใส่ไข่แดงทีละฟองตีให้เข้ากัน

ทะยอยเติมแป้งลงไป ตะล่อมให้เข้ากันดี เทน้ำมันใส่ชามอีกใบ นำนมกับเนยเข้าไมโครเวฟนาน 20 วินาที แล้วนำมาเทผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งหนึ่งในสามของส่วนผสมของไข่กับแป้งมาตะล่อมกับส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับไปผสมกับส่วนผสมของไข่กับแป้งที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่พิมพ์คัพเค้กขนาดมาตรฐาน นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที นำออกมาพักรอให้เย็นแล้วค่อยนำออกจากพิมพ์

* การที่ทำให้ส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันอุ่นขึ้น จะช่วยให้ผสมเข้ากับส่วนผสมของไข่กับแป้งได้ดีขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ก้นพิมพ์แล้วทำให้เค้กด้านล่างแข็งเป็นไต นอกจากนี้การแบ่งส่วนของแป้งกับไข่มาผสมกับส่วนของนม เนย และน้ำมัน ก็มีส่วนช่วยให้ผสมได้ง่ายเช่นเดียวกัน*

ไอซิ่งเกลซ
ฟอนแดนท์สีขาว 150 กรัม
น้ำสะอาด         2 ช้อนโต๊ะ
สีชมพูนิดหน่อย
วีธีทำ
นำฟอนแดนท์และน้ำใส่ชามเข้าไมโครเวฟนาน 30-40 วินาที นำออกมาคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน เติมสีลงไปคนให้เนียนเข้ากัน ใช้สำหรับราดบนหน้าคัพเค้ก


ส่วนตกแต่ง
ราสเบอร์รีเพียวเร่
ไอซิ่งเกลซ
ฟอนแดนท์รูปดอกซากุระ
วิธีทำ
ใช้แปรงทาราสเบอร์รีเพียวเร่ลงบนหน้าคัพเค้กให้ชุ่มจะได้มีรสเปรี้ยวตัดหวานของตัวไอซิ่งเกลซ และฟอนแดนท์


นำไอซิ่งเกลซราดลงบนหน้าคัพคัพเค้ก แต่งหน้าด้วยฟอนแดนท์รูปดอกซากุระ พร้อมเสริฟ


อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า