2011/07/28

"Just want to say thank you" cake


เค้กก้อนนี้ตั้งใจทำให้น้องเขยของคุณสามี (ไม่ได้ทำฟรีนะ เพราะได้ค่าเหนื่อยกลับมาด้วย) คุณเธอจะเอาไปกำนัลให้กับผู้มีพระคุณ ถามไถ่ถึงความชอบส่วนตัวของผู้รับได้คำตอบว่า โปรดปรานช็อคโกแลต และสตรอเบอร์รี่ งานก็เลยง่ายเพราะไม่ต้องตัดสินใจเอง
เริ่มด้วยการทำแยมสตรอเบอร์รี่ มูสช็อคโกแลต ตัวเค้กช็อคโกแลต มูสสตรอเบอร์รี่ ปิดท้ายด้วยสตรอเบอร์รี่เกลซ ของพวกนี้ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆแล้วไม่ได้ยากแต่มันยุ่งยากเยอะแยะมากกว่า ตัวแปรสำคัญคือเวลาและการลำดับขั้นตอนที่ดีตะหาก พอเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เตรียมของครบแล้วก็มาเริ่มทำกันเลยค่า




แยมสตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่หั่นเล็กๆ      300 กรัม
น้ำตาลทราย            150 กรัม
น้ำมะนาว              1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
นำสตรอเบอร์รี่ และน้ำตาลทรายใส่ลงไปในหม้อ ตั้งไฟเคี่ยวให้สตรอเบอร์รี่นิ่ม จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไป เคี่ยวต่ออีกสักครู่ ยกลง พักให้อุ่น นำใส่โถปั่นให้ละเอียด ถ้าไม่ชอบเม็ดก็กรองทิ้ง



มูสช็อคโกแลต
ดาร์คช็อคโกแลต     100 กรัม
ไข่ไก่                 2 ฟอง
น้ำตาลทราย          20 กรัม
วิปปิ้งครีม           100 กรัม
เหล้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่   2 ช้อนชา
เกลือนิดหน่อย
วิธีทำ
ละลายดาร์คช็อคโกแลตโดยใช้ไมโครเวฟครั้งละ 15 วินาที 2 ครั้ง นำออกมาคนให้ละลาย พักไว้
นำไข่ และเหล้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่ใส่ลงชามสเตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีไข่ให้แตก จากนั้นทะยอยเติมน้ำตาลทรายลงไป ตีให้ขึ้นฟูเป็นครีมสีเหลืองอ่อน


นำช็อคโกแลตที่ละลายใส่ลงไปในไข่ ตะล่อมเบาๆ ให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็น
ตีวิปปิ้งครีม โดยวางชามใส่วิปปิ้งครีมซ้อนบนชามที่ใส่น้ำแข็งเอาไว้ เพื่อรักษาอุณหภูมิให้เย็นวิปปิ้งครีมจะได้ขึ้นฟูได้ง่าย ตีจนวิปปิ้งครีมขึ้นฟู


แบ่งส่วนของช็อคโกแลตครึ่งนึงใส่ลงไปในชามวิปปิ้งครีม ตะล่อมให้เข้ากัน แล้วเทกลับลงไปผสมกับส่วนของช็อคโกแลตที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เทใส่ในพิมพ์กลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าพิมพ์ที่จะใช้ทำเค้กประมาณ 1/2 เท่า นำเขาแช่ในช่องฟรีซประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วจึงค่อยไปทำส่วนของเค้กช็อคโกแลตต่อ




สปันจ์เค้กช็อคโกแลต
แป้งเค้ก          70 กรัม
ผงโกโก้          25 กรัม
ไข่ไก่             4 ฟอง (แยกแดง-ขาว)
น้ำตาลทราย      100 กรัม
เนย              20 กรัม
นม               20 มล.
น้ำมันพืช          40 มล.
เหล้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่ 2 ช้อนชา
เกลือ              1 ช้อนชา
ผงฟู               1 ช้อนชา
แยมสตรอเบอร์รี่    150 กรัม (แบ่งจากที่ทำพักไว้)
วิธีทำ
ร่อนแป้ง ผงโกโก้ และผงฟูเข้าด้วยกัน 2 ครั้ง เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียสรอไว้
นำไข่ขาวใส่ในโถผสม ตีให้เป็นฟองหยาบๆ ทะยอยเติมน้ำตาลทรายลงไป ตีจนขึ้นฟูตั้งยอดกลางถึงแข็ง ปิดเครื่องผสม แล้วนำเหล้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่ เกลือ และไข่แดงใส่ลงไป เปิดเครื่องตี ตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้น ใส่ส่วนของแป้งที่ร่อนแล้วลงไป ตะล่อมให้เข้ากัน


นำเนยและนมใส่ชามเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที นำออกมาเทน้ำมันลงไปคนผสม แบ่งส่วนผสมของแป้งกับไข่ออกมา 1/3 ส่วน คนผสมกับส่วนของเนย นมและน้ำมัน ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงเทกลับลงไปผสมกับส่วนของแป้งกับไข่ที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่ถาดที่รองด้วยกระดาษซิลิโคนรองอบเอาไว้ เกลี่ยให้เรียบเสมอกัน นำเข้าเตาอบประมาณ 8-12 นาที จนสุก


นำออกมาจากเตาอบ ใช้มีดปลายแหลมกรีดรอบถาดให้ด้านข้างของเค้กหลุดออกจากพิมพ์ พักไว้แค่พออุ่น คว่ำถาดและลอกกระดาษรองอบออก จัดการตัดเค้กออกเป็นวงกลมเพื่อเป็นฐาน ตัดให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าพิมพ์ที่จะใช้ประมาณ 2 เซนติเมตร ทาแยมสตรอเบอร์รี่ให้ทั่ว
จากนั้นตัดเค้กที่เหลือเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมให้มีความสูงเท่ากับพิมพ์ แล้วทาแยมให้ทั่วเค้กทุกชิ้น นำเค้กสี่เหลี่ยมแต่ละชึ้นซ้อนกันเป็นชั้นๆ สไลด์ตามด้านยาวให้เป็นชิ้นแต่ละชิ้นกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร


นำเค้กที่สไลด์ไปกรุให้รอบพิมพ์ แล้วจึงนำเค้กที่ตัดเป็นวงกลมวางลงเป็นฐาน นำมูสช็อคโกแลตออกจากช่องฟรีซ แคะออกจากพิมพ์ แล้ววางลงไปตรงกลางของพิมพ์ที่ใช้เค้กกรุรอบไว้แล้ว นำทั้งพิมพ์ใส่ลงในถุงซิปล็อคแล้วนำเข้าแช่ช่องฟรีซรอไว้ จากนั้นจึงไปทำส่วนของมูสสตรอเบอร์รี่



มูสสตรอเบอร์รี่
ไข่ขาว            2 ฟอง
น้ำตาลทราย       20 กรัม
แยมสตรอเบอร์รี่   200 กรัม (แบ่งจากที่ทำพักไว้)
เจลาติน            3 ช้อนชา
น้ำเย็นจัด          2 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม         150 มล.
วิธีทำ
บลูมเจลาตินด้วยการใส่ลงในชามที่มีน้ำเย็นจัด รอให้เจลาตินดูดซับน้ำจนพองตัว แล้วนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 15 วินาที เทผสมกับแยมสตรอเบอร์รี่ คนให้เข้ากัน พักไว้
เริ่มทำสวิสเมอร์แรงด้วยการนำหม้อใส่น้ำประมาณ 1/4 ของหม้อ ขึ้นตั้งบนเตา ต้มจนน้ำในหม้อเดือดรุมๆ นำชามที่ใส่ไข่ขาวและน้ำตาลทราย วางลงไปบนหม้อ อย่าให้ก้นชามโดนน้ำเดือด ใช้เครื่องตีมือถือตีไข่ขาวที่อยู่ในชามบนหม้อน้ำเดือดไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วต่ำสุด ประมาณ 3-4 นาที จากนั้นปิดแก๊ซ ยกชามลงมาจากหม้อ แล้วใช้เครื่องตีมือถือตีเมอร์แรงต่อไปเรื่อยๆ จนเย็น


แบ่งส่วนของแยมออกมาครึ่งนึง ตะล่อมรวมกับส่วนของเมอร์แรงให้เข้ากันดี จากนั้นจึงค่อยเทแยมที่เหลือทั้งหมดลงมาผสมกับเมอร์แรง ตะล่อมจนเนื้อเนียน
ตีวิปปิ้งครีม โดยวางชามใส่วิปปิ้งครีมซ้อนบนชามที่ใส่น้ำแข็งเอาไว้ เพื่อรักษาอุณหภูมิให้เย็นวิปปิ้งครีมจะได้ขึ้นฟูได้ง่าย ตีจนวิปปิ้งครีมขึ้นฟู แบ่งส่วนของเมอร์แรงออกมาครึ่งนึง ตะล่อมผสมกับวิปปิ้งครีมให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับลงไปผสมกับเมอร์แรงที่เหลือ ตะล่อมให้เนียนเข้ากันดี นำเค้กออกมาจากช่องฟรีซ เทมูสสตรอเบอร์รี่ทับลงไป เกลี่ยหน้าให้เรียบ นำเข้าช่องฟรีซประมาณ 1 ชั่วโมง ให้มูสเซตตัวดี แล้วจึงไปทำส่วนของสตรอเบอร์รี่เกลซเอาไว้เคลือบหน้า



สตรอเบอร์รี่เกลซ
แยมสตรอเบอร์รี่ที่เหลือ
กลูโคส       10 กรัม
น้ำเย็นจัด      20 มล.
เจาติน        1/3 ช้อนชา
วิธีทำ
บลูมเจลาตินด้วยการใส่ลงในชามที่มีน้ำเย็นจัด รอให้เจลาตินดูดซับน้ำจนพองตัว ใส่กลูโคสลงไป แล้วนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 20 วินาที นำออกมาคนให้เข้ากัน เทผสมกับแยมสตรอเบอร์รี่ คนให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น

ส่วนตกแต่ง
สตรอเบอร์รี่เกลซ
ดาร์คช็อคโกแลต
วิธีทำ
เทราดสตรอเบอร์รี่เกลซลงบนหน้าเค้กส่วนที่เป็นมูสสตรอเบอร์รี่ให้ทั่ว
จากนั้นละลายดาร์คช็อคโกแลตในไมโครเวฟใช้เวลาครั้งละประมาณ 15 วินาที 2 ครั้ง นำออกมาคนให้ละลาย ตักใส่ถุงบีบ ตัดปลายถุงให้เป็นรูเล็กๆ บีบเป็นลายตกแต่งบนหน้าเค้กให้สวยงาม




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/26

Tuna bun for your lazy afternoon tea


เครียด!!!!!!! เวลาที่เกิดอาการเครียดขึ้นมาไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าบำบัดมันยังไง แต่เจ้าของบล็อคนี้ใช้โภชนาการบำบัด ฮ่าๆๆๆๆๆ  คนข้างเคียงรวมถึงเพื่อนฝูงต่างก็พากันกระแนะกระแหนว่าอยู่แต่บ้านดูแต่ลูกงานการอะไรก็ไม่ได้ทำ สบายสุดๆ ทำไม๊ ทำไม ยังเครียดอีก เหอ เหอ เหอ ใครไม่ลองไม่รู้หรอกของแบบนี้ แน่นอนว่าอยู่แต่บ้านมันสบายไม่ปฏิเสธ แต่มันทำให้เกิดความเบื่อหน่าย จะออกไปไหนทีก็ขี้เกียจหอบทั้งคนทั้งสัมภาระ ยิ่งช่วงนี้โรงเรียนของแสบพี่หยุดอีกยิ่งไปกันใหญ่ หันซ้ายก็ลูก หันขวาก็ลูก แง๊วๆ กันตลอดทั้งวัน แต่พอสองศรีพี่น้องหลับ ไอ้ตาเจ้ากรรมก็ดันเบิกโพลงซะงั้น อันนี้คงต้องโทษตัวเองแล้วกระมัง
เบื่อที่ต้องเดินพล่านเป็นหมูติดอยู่เล้า ลงไปทำขนมปังเอาไว้กินตอนบ่ายดีกว่า วันนี้จะทำขนมปังทูน่าทั้งแบบเผ็ดให้ผู้ใหญ่ และแบบปราศจากพริกให้เด็ก ไม่อยากจะบอกว่าตั้งแต่นวดขนมปังเองได้รู้สึกดีมาก และก็ชอบมากเวลานวดๆ คลึงๆ ชอบเวลาที่มือมันสัมผัสกับก้อนแป้งนิ่มๆ โรคจิตไปรึเปล่าเนี่ย
ปล. รูปน้อยเหลือเกินเพราะมือมันไม่อำนวยค่า

ใส้ทูน่า
ทูน่าในน้ำแร่                 2 กระป๋อง
หอมหัวใหญ่ซอย             2 หัว
กระเทียมสับ                 4 กลีบ
น้ำตาลทราย
ซีอิ้วขาว
เกลือ
พริกขี้หนูซอย
น้ำมันสำหรับผัด
วิธีทำ
นำน้ำมันใส่กระทะตั้งไฟให้ร้อน เจียวกระเทียมและหอมหัวใหญ่ให้หอม ตามด้วยเนื้อทูน่าที่สะเด็ดน้ำออกจนหมด ผัดให้เข้ากัน เติมซีอิ้วขาว เกลือ และน้ำตาลทราย ปรุงรสตามชอบ ตักแบ่งออกมาครึ่งหนึ่งสำหรับเด็ก
จากนั้นเติมพริกขี้หนูซอยลงไปในกระทะที่เหลือทูน่าอีกครึ่งนึง ผัดต่ออีกสักครู่ ตักออกพักไว้

ขนมปังหวาน
แป้งขนมปัง             335 กรัม
ไข่ไก่                    1 ฟอง
นมสด                 165 กรัม
วิปปิ้งครีม                35 กรัม
เนยจืดนิ่ม               50 กรัม
น้ำตาลทราย             50 กรัม
ยีสต์                    2 ช้อนชา
เกลือ                   1 ช้อนชา
ผักชีสำหรับแต่งหน้าขนมปัง
พริกขี้หนูซอยสำหรับแต่งหน้าขนมปัง
ไข่ไก่  1 ฟอง ตีให้เข้ากันสำหรับทาหน้าก่อนอบ
เนยจืดนิ่มสำหรับทาหน้าขนมปังหลังจากอบเสร็จให้เงาสวย
วิธีทำ
นำนมสดและวิปปิ้งครีมเข้าไมโครเวฟประมาณ 20 วินาที พอแค่อุ่น ใส่น้ำตาล และยีสต์ใส่ลงในส่วนผสมของนมพักไว้
จากนั้นผสมแป้ง และเกลือเข้าด้วยกันในชามผสม ทำให้เป็นหลุมตรงกลาง ตีไข่ให้เข้ากันผสมกับส่วนของนมแล้วจึงเทลงไปในหลุม ลงมือนวด ให้ส่วนผสมทั้งหมดให้จับตัวกันเป็นก้อน ขนมปังสูตรนี้จะแฉะนิดนึงไม่ต้องตกใจไป จากนั้นค่อยๆ ใส่เนยจืดนิ่มทั้ง  50 กรัม ลงไปในก้อนแป้ง นวดก้อนแป้งที่ดูเหมือนเละๆ นั้นให้เนียน ใครเป็นมือใหม่หัดนวดดูวิธีได้ ที่นี่
เสร็จแล้วก็พักแป้งให้ขึ้นเป็นสองเท่าในชามที่ทาเนยบางๆ ไว้ทั่ว เพื่อกันแป้งติด พร้อมกับใช้พลาสติกแร็ป หรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดคลุมชามไว้ นำไปไว้ในที่มืด (เอาไว้มันในเตาอบนี่แหละง่ายดี แต่อย่าเผลอเปิดเตาหล่ะ เดี๋ยวจะสุกซะก่อน) โดยใช้เวลาพักแป้งประมาณ 1-1 1/2 ชั่วโมง หรือจนสังเกตุเห็นประมาณมันเพิ่มเป็น 2 เท่า (ที่บ้านเรียกว่าอืดได้ที่) ระหว่างรอก็จัดการเตรียมพิมพ์จะใช้อบ วันนี้ใช้พิมพ์มัฟฟิ่นขนาดมาตรฐาน จัดการใส่ถ้วยกระดาษลงไป 
พอแป้งได้ที่แล้วก็นำออกมานวดไล่อากาศอีกครั้ง นวดประมาณ 1-2 นาที จากนั้นจัดการตัดแบ่งแป้งเป็นก้อนกลมขนาดเท่าๆ กัน น้ำหนักก้อนแป้งแต่ละก้อนก็ประมาณ 50 กรัม คลึงแผ่ให้เป็นแผ่น ตักใส้ทูน่าที่ทำไว้ใส่ลงตรงกลาง ห่อแป้งให้มิดใส้ คลึงอีกครั้งให้กลมเนียน นำใส่ในพิมพ์ไว้ ทำไปเรื่อยๆ จนหมดแป้งและใส้
ขนมปังก้อนไหนที่ใส่ใส้แบบเผ็ดก็แปะผักชีและพริกลงไป ส่วนแบบที่ไม่เผ็ดก็แปะแต่ผักชีบนหน้าก็พอ จะได้เห็นความแตกต่าง เวลาอบเสร็จจะได้ไม่หยิบผิดหยิบถูก


นำเอาขนมปังที่ใส่ใส้และแต่งหน้าแล้วกลับไปพักให้ขึ้นอีกครั้ง (ที่เดิม)  ใช้เวลาพักเท่าเดิม ใช้วิธีการสังเกตุแบบเดิมๆ พอขนมปังขึ้นได้ที่ก็จัดการยกออกมาทั้งถาด  ตีไข่ให้เข้ากัน ใช้แปรงทาไข่บนหน้าขนมปังบางๆ แบบเบามือ
เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ10 นาที พอให้เตาอบร้อนได้ที่ก็นำถาดขนมปังเข้าอบ ใช้เวลาอบก็ประมาณ 12-15 นาที นำออกมาจัดการใช้แปรงทาเนยจืดนิ่มลงบนหน้าขนมปังให้หน้าขนมปังเงาสวย พักไว้จนอุ่นถึงยกออกมาวางไว้ที่ตะแกรง

ถ้าทานไม่หมดก็รอจนเย็นสนิทแล้วจึงเก็บใส่กล่องที่ปิดฝาสนิทใส่ตู้เย็นเอาไว้ เวลาจะทานอีกทีก็นำเข้าไมโครเวฟประมาณ 5-8 วินาที ก็ยังคงความอร่อยเช่นเดิม


อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/25

Honey pecan pithiviers, the best way to eliminate puff pastry from the fridge


สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ในบ้านจะกลายเป็นเวทีมวยลุมพีนีขนาดย่อม ก็เพราะว่าโรงเรียนของหล่อพี่เบรคให้คุณครูได้หายใจหายคอกัน ผลกรรมมันก็เลยมาตกที่คุณแม่ขา เนื่องจากว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณลูกอยู่กันครบ และคุณพ่อคนดีที่หนึ่งออกไปทำงานปั๊มเงิน จักต้องมีสงครามขนาดย่อมที่ต้องการกรรมการตัดสินตลอดมันทั้งวัน โดยที่กรรมการไม่สามารถลำเอียง ต้องเข้าข้างทั้งสองฝ่าย แบบว่าพี่ก็ถูกน้องก็ไม่ผิด กรรมจริงๆ ปวดหัวรอไว้ตั้งแต่ต้นอาทิตย์กันเลยทีเดียวเชียว
ยุบหนอ พองหนอ กลัวไมเกรนจะกำเริบ คุณแม่ขาเลยขอลาพักจากสถานการณ์ตึงเครียดเหล่านี้ด้วยการทำขนม ตามความชอบและถนัด แบบว่ามีลูกตั้งสองคนแถมคนโตก็จะปาเข้าไป 7 ขวบแล้ว งานที่ถนัดก็ยังคงไม่ใช่เลี้ยงลูกอยู่ดี ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
ครั้นจะทำขนมที่เรื่องมากขั้นตอนเยอะ เวลาและโอกาสมันก็ดันไม่เป็นใจ ในเมื่อมือซ้ายยังคงมีคนเกี่ยว ขาขวายังมีคนเกาะ มันต้องใช้ตัวช่วยนิดนึง คุ้ยเขี่ยช่องฟรีซพบกับมหาสมบัติอันล้ำค่า นั่นก็คือน้องหนูพัฟพาสตรี้ที่เห่อรีดกองเอาไว้เต็มไปหมดตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เปิดกรุหนังสือหาเมนูก็พบกับทางออก เอานี่แหละเริ่ด แค่ต้องทำพาสตรี้ครีมเพิ่มแค่นั้นเอง อย่างอื่นพร้อมหมด

ขนมชิ้นนี้มีชื่อเป็นอาวุธ จนบัดนี้ยังไม่รู้เลยว่ามันออกเสียงว่ายังไง รู้แต่ว่ามันเป็นเหมือนพายที่มีใส้เป็นครีมถั่วแค่นั้นจบ ไม่ควรจะเสียเวลาพิรี้พิไรมาก เพราะเวลาส่วนตัวที่มีค่ามันน้อย เริ่มเลยแล้วกัน

แป้งพัฟพาสตรี้
ดูสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่ เลยค่ะ


ครีมน้ำผึ้งถั่วพีแคน
พาสตรี้ครีม      1/3 ของสูตร
ถั่วพีแคนอบ        150 กรัม
น้ำผึ้ง                 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
เริ่มทำพาสตรี้ครีมก่อน ดูสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่  เสร็จแล้วใช้พลาสติกแรปคลุมหน้าพักรอไว้
เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส นำถั่วพีแคนเข้าเตาอบโดยไม่ต้องรอให้เตาอบร้อนประมาณ 10 นาที นำออกมาพักให้พออุ่น จากนั้นนำใส่ในโถปั่นให้ละเอียด
ใส่ถั่วพีแคนที่ปั่นละเอียดแล้ว และน้ำผึ้งลงในพาสตรี้ครีม คนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ใช้พลาสติกแรปคลุมหน้าครีมที่ได้พักไว้ในตู้เย็น รอทำประกอบร่าง



Honey pecan pithiviers
แป้งพัฟพาสตรี้
ครีมน้ำผึ้งถั่วพีแคน
ไข่ไก่ตีให้แตกเข้ากัน    1 ฟอง (สำหรับทาหน้าก่อนอบ)
วิธีทำ
เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียสรอไว้
ตัดแป้งพัฟพาสตรี้เป็วงกลมขนาดเท่ากัน 6 ชิ้น ใช้ส้อมจิ้มแป้งพัฟพาสตรี้ที่ตัดแล้ว 3 ชิ้น ให้เป็นรอย จากนั้นตักครีมน้ำผึ้งถั่วพีแคนวางลงบนแป้งพัฟพาสตรี้ทั้ง  3 ชิ้น นำแป้งพัฟพาสตรี้ที่ไม่ได้ใช้ส้อมจิ้มมาประกบด้านบน กดตามริมขอบให้แน่น


ใช้ไม้ปลายแหลมเจาะรูตรงกลาง ใช้ปลายมีดกรีดทำลวดลายตามขอบข้างและด้านบน สุดท้ายทาหน้าด้วยไข่ไก่

แล้วจึงนำเข้าอบประมาณ 30 นาที หรือจนเป็นสีเหลืองทองสวย กินตอนร้อนๆ กรอบอร่อยมาก เสียอย่างเดียวปากจะพองเอา




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/24

Ready to serve dish in the rush hour; Banana cracker crust


อย่างที่รู้ๆ กันทุกวันเสาร์เย็นจะเป็นเวลาของครอบครัว (ใหญ่มากๆ) ศรีสะใภ้อย่างเราๆ ก็มีหน้าที่ตระเตรียมสำรับคาวหวานอย่าให้ได้บกพร่อง หลังจากที่บรรดาสมาชิกสำเร็จโทษของคาวเสร็จต่างก็พากันหันหน้ามาแบบไม่ได้นัดหมาย เพื่อมองหาของหวานล้างปากซึ่งปกติเคยมีรอไว้ประเคนตลอด รู้สึกผิดที่คราวนี้เหนื่อยจนไม่มีแรงตระเตรียมของหวานไว้ให้ เลยต้องรีบครีเอทไอเดียเป็นการด่วน สุดท้ายก็ลงตัวกับเมนูง่ายๆ ใช้เวลาปรุงแต่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีนัก ใครอยากยืมไปใช้ไม่ว่ากันเพราะว่ามันอร่อยนะจะบอกให้

Banana cracker crust
แครกเกอร์เค็มบดหยาบ    200 กรัม
กล้วยหอมงอมๆ            3 ลูก
เนยเค็ม                   2 ช้อนโต๊ะ
เหล้ากลิ่นกล้วยหอม         1 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม                 250 มล.
น้ำตาลทราย                1 ช้อนโต๊ะ
คิทแคทตามชอบ
ดาร์คช็อคโกแลตตามชอบ  
วิธีทำ
เริ่มด้วยบดแครกแกอร์ไม่ต้องให้ละเอียดมาก แล้วหั่นคิทแคทเป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้
จากนั้นหั่นกล้วยหอมเป็นแว่นๆ ใส่เนยลงไปในกระทะที่ตั้งไฟจนร้อน ตามด้วยกล้วยที่หั่นแล้วลงไป จนด้านล่างของกล้วยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน พลิกด้านบนลงล่าง จากนั้นเทเหล้ากลิ่นกล้วยลงไป รอประมาณครึ่งนาที ตักกล้วยออกมาพักไว้
ใส่วิปปิ้งครีมและน้ำตาลทรายลงในชามสเตนเลส ตีให้ขึ้นฟู พักไว้ในตู้เย็น
จากนั้นละลายดาร์คช็อคโกแลตในไมโครเวฟใช้เวลาครั้งละประมาณ 15 วินาที 2 ครั้ง นำออกมาคนให้ละลาย ตักใส่ถุงบีบ พักไว้
ตักแครกเกอร์ที่บดไว้ใส่ในจาน วางกล้วยผัดเนยลงไปบนแครกเกอร์ ตักวิปปิ้งครีมที่ตีขึ้นฟูแล้ววางโปะลงบนกล้วย โรยด้วยคิทแคท ตัดปลายถุงบีบที่ใส่ช็อคโกแลตไว้ให้เป็นรูเล็กๆ แล้วบีบตกแต่ง ก่อนเสริฟ




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/21

Croissants for a whole week


รีดได้รีดดียังคงรีดไม่เลิก ไม่ใช่ทั้งรีดผ้า ไม่ใช่ทั้งรีดเงินคุณสามี และก็ไม่ใช่ทั้งรีดแป้งพัฟพาสตรี้ แต่ตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็นรีดครัวซองแทน ตกลงหลุมพรางของคุณบัว tiny bakery เห็นคุณบัวเธอทำแล้วดูน่ากิ๊น น่ากิน ประกอบกับไม่มีทางออกที่จะใช้เจ้าแป้งพัฟพาสตรี้ที่เคยรีดเอาไว้ไปทำอะไรแล้ว ก็หันมาทุ่มเทแรงกายไปกับการรีดครัวซองซะเลย
ขอสารภาพตรงๆ ที่นี่เลยว่ารีดครัวซองทุกวันมันทั้งอาทิตย์ แต่ครั้งที่ทำแล้วทุกอย่างถูกใจที่สุดก็เป็นครั้งแรก ครั้งต่อมาเรื่อยๆ ก็ห่วยลง ห่วยลงแบบหาสาเหตุมิได้ซะงั้น แต่ก็กินไม่เคยเหลือ สมาชิกที่บ้านมันเยอะก็ทะยอยยัดเยียดเข้าไป ทำทุกวันก็หมดทุกวันถึงฝีมือมันจะยังไม่ใช่โปรก็เหอะ มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถอดใจต้องพยายามทำให้เป็นเหมือนครั้งแรกให้ได้ หมักแป้งในตู้เย็นไว้อีกแล้วครับท่าน พรุ่งนี้รีดอีก ฮ่าๆๆๆๆๆ
ยกเครดิตทั้งหมดให้คุณบัว tiny bakery นะค้า

ครัวซอง
จัดการลอกทั้งสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่












อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/20

Chicken farm baker's project #37 : Roll cake ; The upturn version of charlotte royale


เผ่นแน่บออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาอัพการบ้านไก่ที่ทำเสร็จตั้งแต่วันเข้าพรรษาแล้วแต่ดันเกิดแอคซิเดนท์ต้องแอดมิทซะก่อน แช่อิ่มจนได้ที่  ทั้งๆที่โฮสเค้าคลอดโจทย์มาตั้งนานแล้ว
ก่อนหน้านั้นยังคิดไม่ออกซะทีว่าจะให้มันออกมาในรูปไหน เจ้าของการบ้านให้โจทย์ที่ดูเหมือนง่ายอีกแล้ว แต่ทำไมมันทำยากจัง ตีลังกาคิดอยู่เป็นอาทิตย์ว่าจะทำอะไรดี ก็ยังไม่ลงตัว ยิ่งเห็นงานชิ้นโบว์แดงของคุณบัว tiny bakery กับคุณปุ๊ก dailydelicious แล้วยิ่งใจแป้ว ก็ของเค้าดีจริงอะไรจริง เริ่ดๆ กันทั้งนั้น
แต่ขอโทษค่า เหตุผลพวกนี้ไม่ใช่ข้ออ้างเบี้ยวการบ้านแน่นอน ในเมื่อลงทุนลงแรงอัพโพรไฟล์ สมัครเป็นสมาชิกไก่ในฟาร์มแล้ว เจ้าของฟาร์มเค้าก็ใจดีต้อนรับแบบอบอุ่นซะขนาดนี้  แถมเพิ่งส่งการบ้านไปแค่ครั้งเดียวเอง หัวเด็ดตีนขาดยังไง ก็ไม่ย๊อม ไม่ยอม ดิสเครดิตตัวเองแน่ๆ แค่ขอเว้นระยะความคิดนานนิดนึงแค่นั้นเอง

หลังจากหลบไปเข้าวัดทำบุญถวายหลอดไฟเนื่องในโอกาสวันอาสาฬบูชา กับวันเข้าพรรษาไปแหม่บๆ ปัญญามันก็บังเกิดอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็นึกถึงเจ้าเค้กที่เกิดจากการนำเอาแยมโรลมาเรียงต่อๆ กันในชามกลมๆ ดูแล้วพิลึกกึกกือขึ้นมาซะงั้น แต่ติดอยู่ที่ว่ายังรับไม่ได้กับรูปร่างภายนอกที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับสมอง ก็เลยจัดการหงายมันเป็นถ้วยใส่เยลลี่ กับไอติมซะเลย


ขั้นตอนการทำก็แสนจะง่ายดายแค่ทำแยมโรลรสที่ชอบก็พอ แล้วจัดการนำมาก่อร่างสร้างตัวในแก้วทรงครึ่งวงกลม เคลือบด้านในด้วยช็อคโกแลต เสร็จแล้วก็เทเยลลี่ลงไป รอให้เซตตัว บรรจงตักไอติมใส่ โปะวิปปิ้งครีมเรียกความอ้วนนิด เบรกด้วยผลไม้เปรี้ยวๆ หน่อย อืมสวรรค์จริงค่า

ชิฟฟอนเค้ก
แป้งเค้ก                  35 กรัม
น้ำตาล                   35 กรัม
ไข่แดง                    2 ฟอง
ไข่ขาว                    3 ฟอง
นม                      40   กรัม
น้ำมัน                    30  กรัม
เหล้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่        1   ช้อนชา
เกลือ                     1/8 ช้อนชา
ผงฟู                      1/4 ช้อนชา
แยมสตรอเบอร์รี่            1/4 ถ้วยตวง
วิธีทำ
จัดการทำส่วนของชิฟฟอนเค้กก่อน เริ่มด้วยร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือ เข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส
นำไข่แดง น้ำมัน นม และเหล้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่ ใส่ลงไปในชามสเตนเลส ใช้ตระกร้อมือตีให้เข้ากัน ใส่ส่วนของแป้งลงไป คนให้เข้ากันพักไว้


นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลสอีกใบ ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง


แบ่งไข่ขาวหนึ่งในสามตะล่อมผสมกับส่วนผสมของไข่และแป้ง จากนั้นจึงเทกลับลงไปผสมกับไข่ขาวที่เหลือทั้งหมด  ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่ถาดอบ เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที นำออกมาใช้มีดปลายแหลมกรีดรอบพิมพ์ คว่ำเค้กลงบนผ้าสะอาด (ใช้ผ้าอ้อมของลูกง่ายดี) แล้วม้วนเป็นโรลให้แน่น พักให้แค่พออุ่น


จากนั้นคลี่ออกมาจัดการปาดแยมสตรอเบอร์รี่บางๆลงไปให้ทั่ว ม้วนเป็นโรลให้แน่นอีกครั้ง รอให้เย็นจัดการสไลด์เป็นแผ่นบางๆ


เยลลี่สตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่เพียวเร่ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย        4 ช้อนโต๊ะ
เจลาติน            1 ช้อนชา
น้ำเย็นจัด           2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
บลูมเจลาตินโดยนำใส่ลงไปในน้ำเย็นจัด ทิ้งไว้จนเจลาตินซับน้ำแล้วพองตัว นำเข้าไมโครเวฟนาน 10 วินาที แค่พอให้เจลาตินละลาย เทส่วนของสตรอเบอร์รี่เพียวเร่ลงไปผสม คนให้เข้ากัน พักไว้


ส่วนตกแต่ง
แยมโรลที่สไลด์เป็นชิ้นบางๆ
ดาร์คช็อคโกแลต
เยลลี่สตรอเบอร์รี่
ไอศครีมรสโปรด
วิปปิ้งครีม
ผลไม้สด
วิธีทำ
เรียงแยมโรลที่สไลด์เป็นชิ้นๆลงในชามรูปครึ่งวงกลม จากนั้นละลายดาร์คช็อคโกแลตในไมโครเวฟใช้เวลาครั้งละประมาณ 15 วินาที 2 ครั้ง นำออกมาคนให้ละลาย นำไปเคลือบด้านในชามแยมโรลให้ทั่ว นำเข้าตู้เย็นรอให้ช็อคโกแลตเซตตัว ประมาณ 5 นาที 
จากนั้นนำออกมาเทส่วนของเยลลี่สตรอเบอร์รี่ที่ทำไว้ลงไป นำเข้าตู้เย็น รอให้เยลลี่เซตตัวดีประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นแคะออกมาจากแก้ว ใส่ไอศครีมรสที่ชอบลงไป บีบวิปปิ้งครีม เรียงผลไม้สดหลากสี เป็นอันพร้อมเสริฟ


อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/07

Sanwich bread Episode II; Snickers bread pudding


จากที่เมื่อสองวันก่อนได้ทำขนมปังแซนวิชไป แล้วจัดการแปลงร่างเป็นช็อคโกแลตอัลมอนด์โทสต์ไป ก็ยังคงเหลือเจ้าก้อนขนมปังอีกหนึ่งก้อนใหญ่ จะปล่อยทิ้งไว้ให้ขึ้นราไปก็ใช่ที่ เดี๋ยวคุณสามีจะบ่นเอา เรื่องอื่นไม่ว่า แต่เรื่องปล่อยทิ้งของที่ิกินได้ให้เสียไปต่อหน้าต่อตา พ่อบ่นจนหูชา ก็อย่างที่เคยบอกว่าไม่ชอบกินขนมปังเปล่าๆ มันไม่ได้เนื้อได้หนัง ก็ต้องหาเนื้อหาหนังมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้หน่อยจะได้รับประทานได้คล่องคอ แต่ขอเน้นคอนเซ็ปไม่ออกไปซื้อ ใช้ของที่มีอยู่ปริมาณมากในบ้านให้หมด เพราะขี้เกียจจัง
คุ้ยสต็อคของในบ้านแล้วพบว่า มีช็อคโกแลตอยู่ทุกประเภทสำหรับไว้ทำขนม นมสดพาสเจอร์ไรซ์ มีไข่ที่ซื้อตุนไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งเพราะว่ากลัววิกฤติข้าวยากหมากแพง และพระเอกของงานน้องหนู Snickers แคนดี้บาร์ที่มีส่วนผสมของทั้ง ช็อคโกแลต นูกัต ถั่ว และคาราเมล ที่ช่วยทำให้เมนูง่ายๆ ดูวิจิตรพิสดารขึ้นมานิดนึง


จริงๆ แล้วพุดดิ้งขนมปังดูจากวธีทำแล้วดูมันแหยะๆ ไม่น่ากินยังไงไม่รู้ แต่ได้โปรดอย่าได้ประเมินสิ่งต่างๆ จากที่มองเห็น  ให้ประเมินด้วยลิ้นดีกว่าชัวร์กว่าเยอะ หลังจากที่อบแล้วลองเทสต์ดู ก็ต้องร้องว้าวววว มันอร่อยแฮะ แต่ถ้าใครยังกลัวความฉ่ำๆ เยิ้มๆ อุ่นๆ ก็ให้รอให้เย็นลงแล้วลองนำเข้าตู้เย็นอย่างน้อยซัก 4 ชั่วโมงให้มันแน่นขึ้น แล้วเสริฟพร้อมวิปปิ้งครีม หรือ ไอศครีม แล้วจะเปลี่ยนใจลงความเห็นใหม่ทันทีว่ามันก็อร่อยไม่แพ้ขนมอย่างอื่นเลย ลองทำที่บ้านดูนะ ง่ายไม่แพ้เจียวไข่เลย แค่ใช้เวลานานกว่าหน่อยแค่นั้นเองค่า



พุดดิ้งขนมปัง Snickers
ขนมปังแซนวิช             1/2 ก้อน (หรือขนมปังก้อนชนิดอื่นๆ ที่มีอยู่ในบ้าน)
นมสด                      2 ถ้วย
ไข่ไก่                      2 ฟอง
ช็อคโกแลตแบบกึ่งหวาน     90 กรัม
เนยสด                     1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                     1/8 ช้อนชา
Snickers                   2 แท่ง
วิธีทำ
นำนม ช็อคโกแลต และเนย ใส่ชามเข้าไมโครเวฟให้พอร้อนแต่ไม่เดือด นำออกมาคนให้ละลายเข้ากัน พักไว้ให้อุ่น เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส รอไว้
เตรียมพิมพ์โดยการทาเนยให่ทั่วพิมพ์ (วันนี้ใช้ถ้วยเรมกิน) จากนั้นจัดการหั่น Snickers เป็นลูกเต๋าเล็กๆ แล้วตามด้วยหั่นขนมปังเป็นลูกเต๋าขนาดกลาง


วางขนมปังลงในพิมพ์ โรยหน้าด้วย Snickers ที่หั่นเต๋า จากนั้นก็ไปทำส่วนของที่จะนำมาราด
นำไข่ใส่ชาม ใช้ตระกร้อมือตีให้แตก ทะยอยเทส่วนผสมของนมที่อุ่นแล้วลงไป คนให้เข้ากัน นำไปราดบนขนมปังที่อยู่ในพิมพ์ให้ชุ่ม นำเข้าเตาอบประมาณ 20-25 นาที นำออกมาพักไว้ให้อุ่นแล้วเสริฟ หรือจะรอให้เย็นก่อนก็ได้



ส่วนตกแต่ง
วิปปิ้งครีม
ช็อคโกแลตขูดฝอย
วิธีทำ
จะเสริฟทั้งพิมพ์ หรือแคะออกมาจากพิมพ์ก็ได้ แค่โปะวิปปิ้งครีมแล้วโรยช็อคโกแลตขูด ง่ายไปหน่อยมั้ยเนี่ย




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/07/06

Chocolate almond toasted bread with any choice of your ice cream


มีเพื่อนสาวแสนสวยกะเค้าคนนึง เป็นเพื่อนที่เรียกว่าสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม (แต่ไม่รู้ว่าเค้ายอมสนิทด้วยอ่ะป่าวดิ) แต่ขาดการติดต่อไปตอนเข้ามหาวิทยาลัย เจอกันอีกทีเมื่อปีที่ผ่านมาทางเครือค่ายสังคมออนไลน์เจ้าฮิต ตอนนี้คุณเธอไปแจ้งเกิดเป็นดาวอยู่ที่ประเทศมหาอำนาจ นิสัยน่ารัก เปิดเผยมากมาย แต่ดันสารภาพว่าไม่ค่อยสันทัดงานบ้านงานเรือน มีโอกาสได้เมาท์มอยกันเล็กน้อย อยู่เนืองๆ ผ่านทางตัวหนังสือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
ด้วยความที่ห่างบ้านเกิดเมืองนอนไปนานโข ทำให้เกิดอาการคิดถึงอะไรที่มันออกจะไทยๆ วันดีคืนดีก็เปิดบทสนทนาถามถึงสูตรขนมปังที่ง่ายแต่อร่อยมา เพราะว่าอยากทำเอง ตอนนั้นขอแอบบอกเลยว่าไม่มีซักสูตร เพราะเมื่อสามปีที่แล้วเข็ดมากกับการนวดขนมปังเองแล้วแข็งพอๆ กับสากครกไงงั้น ขนาดว่าเปลี่ยนจากนวดมือมาใช้เครื่องผสมก็ยังเจ๊ง จนต้องเดือดร้อนคุณสามีถอยเครื่องทำขนมปังโดยเฉพาะให้ จากนั้นเป็นต้นมาเลยพาลคิดว่าชาตินี้คงไม่มีปัญญาทำขนมปังกินเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นแน่แท้ คงต้องพึ่งไอ้เจ้าเครื่องทำขนมปังให้มันนวดให้อยู่ร่ำไป
จวบจนกระทั่งเมื่อเช้ามีสมาชิกฟาร์มไก่ที่น่ารัก คุณก้อยกุ้ง ฟันคุดน้อยซี่ที่7 มาโพสต์บนเฟซบุ๊คถึงขนมปังที่เธอบอกว่ามันง่ายมากมาย ไม่มีไข่เป็นส่วนประกอบ (จะไม่ต้องเกรงใจเจ้าโคเลสเตอรอลมัน) และอร่อยด้วย
ไอ้ความที่กลัวฝันร้ายเก่าๆ มาหลอกหลอนมันก็กลัวอยู่ แต่ความสู่รู้มันมีมากกว่าอดใจไม่ไหวเลยรีบสมนาคุณให้ แล้วจัดการส่งสาส์นต่อถึงคุณเพื่อนว่าให้รอชมผลงานนะ ถ้าดีจะเอามาลงบล็อคให้ก๊อปปี้ได้โลดค่า
แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยกับผลที่ออกมา ถือว่าคุ้มค่าที่สุด ทำให้เลิกเป็นเจ้าสาวที่กลัวขนมปัง (ฝน) ไปเลย แต่ขอนิดนึงนะบังเอิญไม่ใช่คนที่ชอบกินขนมปังเปล่าๆ เพราะมันมิหวานอ่ะ เลยลองแบ่งมาทำเป็นขนมที่ฮอตฮิตมากๆ ที่นี่ ตอนนี้ ถึงขนาดต้องต่อคิวยาวเป็นกิโลมันทุกสาขา เพื่อให้ได้กิน เรียกว่าเป็นอีกซิกเนเจอร์เมนูของทางร้านเค้าเลยทีเดียว ครั้นจะลอกเค้ามาดุ๊นๆ มันก็น่าขายหน้าไปหน่อย ลองเปลี่ยนนั่นนิด เติมนี่หน่อยจะได้ดูไม่น่าเกลียดเนอะ

ขนมปังแซนวิช
แป้งขนมปัง        420 กรัม
นมสดอุ่น          300 มล.
น้ำตาลทราย     2 1/2 ช้อนโต๊ะ
ยีสต์ผง          1 1/2  ช้อนชา
เกลือ              1 ช้อนชา
เนยสดนิ่ม          4 ช้อนโต๊ะ
(แบ่ง 3 ช้อนโต๊ะ ไว้นวดผสมกับแป้ง ที่เหลือ 1 ช้อนโต๊ะ เอาไว้ทาหน้าขนมปังหลังจากที่อบเสร็จ)
ไข่ไก่ 1 ฟอง
(สำหรับทาหน้าขนมปังก่อนอบหน้าขนมปังจะได้เงา แต่จะไม่ทาก็ได้)
วิธีทำ
นำยีสต์ และน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะใส่ลงในนมสดอุ่น ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
นำแป้ง น้ำตาลทรายส่วนที่เหลือ และเกลือใส่ลงในชามผสม คนให้เข้ากันทำเป็นหลุมตรงกลางแล้วเทส่วนของนมลงไป  ลงมือนวด (แต่ที่นี่ขยำค่า) ส่วนผสมทั้งหมดให้จับตัวกันเป็นก้อนแป้ง จากนั้นค่อยๆ ใส่เนยลงไป (ถึงจุดนี้ไม่ต้องกลัว มันเละเทะมาก ดูแล้วเหมือนกับว่าไม่น่าจะเสร็จแล้วออกมากินได้) นวดให้เนียน ใครเป็นมือใหม่หัดนวดดูวิธีได้ ที่นี่
เสร็จแล้วก็พักแป้งให้ขึ้นเป็นสองเท่าในชามที่ทาเนยบางๆ ไว้ทั่ว เพื่อกันแป้งติด พร้อมกับใช้พลาสติกแร็ป หรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดคลุมชามไว้ นำไปไว้ในที่มืด (เอาไว้มันในเตาอบนี่แหละง่ายดี แต่อย่าเผลอเปิดเตาหล่ะ เดี๋ยวจะสุกซะก่อน) โดยใช้เวลาพักแป้งประมาณ 1-1 1/2 ชั่วโมง หรือจนสังเกตุเห็นประมาณมันเพิ่มเป็น 2 เท่า (ที่บ้านเรียกว่าอืดได้ที่)

ระหว่างรอก็จัดการเตรียมพิมพ์ที่จะใช้อบด้วยการทาเนยให้ทั่วทุกซอกมุม วันนี้ใช้พิมพ์ขนมปังขนาดมาตรฐาน 2 อัน
พอแป้งได้ที่แล้วก็นำออกมานวดไล่อากาศอีกครั้ง ประมาณ 1-2 นาที ตัดแบ่งแป้งเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน คลึงให้เป็นกลมๆ วางลงในพิมพ์ พิมพ์ละ 2ก้อน จัดการเอากลับไปพัก (ที่เดิม) อีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะปิดหน้าด้วยพลาสติกแร็ป หรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ เอาไว้ ใช้เวลาพักเท่าเดิม ใช้วิธีการสังเกตุแบบเดิมๆ
เมื่อครบกำหนดเวลาก็นำออกมา ตีไข่ให้เข้ากัน จัดการใช้แปรงทาไข่บนหน้าขนมปังบางๆ แบบเบามือด้วยนะ เดี๋ยวยุบ

เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส อบไปประมาณ 5 นาที ให้นำออกมาใช้อลูมิเนียมฟอยล์ วางปิดบนหน้าขนมปังไว้ (กันหน้าดำก่อนที่จะสุกถึงข้างใน) แล้วรีบนำกลับเข้าไปอบต่ออีก 10 นาที จากนั้นลดอุณหภูมิเตาลงเหลือ 180 องศาเซลเซียส แล้วอบต่ออีก 10-15 นาที
เมื่อสุกได้ที่แล้วนำออกาจากเตาอบ จัดการใช้แปรงทาหน้าขนมปังด้วยเนยสดที่เหลือไว้ พักให้อุ่นในพิมพ์ แล้วจึงแคะออกมากินได้เลย หรือหากจะเก็ไว้ทำอย่างอื่นด้วยก็ให้วางผึ่งบนตะแกรงด้านนอกจนเย็นสนิทก่อนแล้วจึงค่อยเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท (ถ้าไม่สมารถบริโภคให้หมดภายในวันเดียวก็เอาเข้าตู้เย็นไว้)


อัลมอนด์โทสต์
ขนมปัง          1 ก้อน
เนยเค็มนิ่ม       1 ช้อนโต๊ะ
อัลมอนด์พราลีน   2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส รอไว้
ผสมเนย และอัลมอนด์พราลีน   เข้าด้วยกัน
จัดการสไลด์ก้อนขนมปังออกเป็นตาราง แต่อย่าให้ขาดออกจากกัน ทาส่วนผสมของเนยและอัลมอนด์พราลีนลงไปบนหน้าขนมปังและตามในซอกตารางด้วย นำเข้าเตาอบประมาณ 5-10 นาที หรือจนหน้าขนมเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง แต่ไม่ใหม้ นำออกมาใส่จาน

ส่วนตกแต่ง
อัลมอนด์โทสต์
ไอศครีมรสโปรด
ดาร์คช็อคโกแลต หรือซอสช็อคโกแลตสำเร็จรูป
อัลมอนด์สไลด์ (ที่อบแล้ว)
ผลไม้สด
วิปปิ้งครีม
วิธีทำ
โปะไอศครีมลงบนอัลมอนด์โทสต์ที่เพิ่งออกมาจากเตา ละลายดาร์คช็อคโกแลตโดยใช้ไมโครเวฟแล้วนำมาใส่ถุงบีบ บีบตกแต่ง เพิ่มความอลังการด้วยการบีบวิปปิ้งครีมลงบนจาน โรยด้วยอัลมอนด์ไสลด์ แล้วสาดผลไม้สดลงไปกันอ้วนอีกที อันนี้ไม่ต้องรอใคร รีบจ้วงก่อนเลยเพราะเดี๋ยวไอศครีมละลายเสียของค่า


อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า



2011/07/05

Deeply mad about puff pastry; Cherry mille feuille

เรียกได้ว่าตอนนี้กำลังมัวเมาสุดขีด หลังจากประสปความสำเร็จกับการรีดแป้งพายครั้งแรกไป ประกอบกับเบื่อทีวีสุดๆ เปิดไปช่องไหนก็มีแต่ข่าวการบ้านการเมืองที่ไม่ค่อยถูกใจ และไม่สามารถหลอกให้ตัวเองทำใจเป็นกลางได้ ฝืนดูไปก็ชีช้ำเปล่าๆ เลยทำให้ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจัดการรีดแป้งพายไปแล้วถึงสามครั้ง รีดบ่อยยิ่งกว่ารีดผ้าซะอีก
รีดไปรีดมาเลยเหลิงคิดว่าตัวเองคงใกล้แตะโปรแล้ว ย่ามใจลองหัดเปลี่ยนวิธีรีดแป้งพายแบบใหม่บ้างที่ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะกะมือใหม่เท่าไรนัก แต่ไม่ได้แคร์ของแบบนี้ไม่ลองมิรู้ แค่ไม่ได้เรื่องก็ไม่เอาออกมาโชว์แค่นั้นเอง ง่ายจะตาย
ตามที่มือโปรแห่ง dailydeliciousthai ได้กล่าวเอาไว้ว่าการรีดแป้งพายแบบใหม่นี้จะใช้เนยห่อแป้งแทนที่จะใช้แป้งห่อเนย อกอีแป้นจะทะลุแค่แป้งห่อเนยก็จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่เนยห่อแป้งมิล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือรีดเลยรึ แต่ช้าก่อนมือใหม่เอ๋ย โปรท่านกล่าวว่า อย่ากลัว อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ จริงๆแล้วมันง่ายกว่าแบบที่เอาแป้งห่อเนยเสียอีก เอาไงก็เอากันเอามันซักตั้ง ดันเป็นคนหูเบาเชื่อคนง่ายไม่ค่อยไตร่ตรอง เตรียมของด่วน
หลังจากง่วนๆ ผ่านรอบแรกไป เอาเข้าจริงๆก็ไม่ค่อยยากอย่างที่โปรท่านว่า แต่ต้องให้เวลากับตู้เย็นมากหน่อย (คิดว่าค่าไฟเดือนนี้คงเพิ่มขึ้นอีกเยอะ เพราะปิดเปิดบ่อยเหลือเกิน) หลังจากอบเสร็จก็รีบถ่ายรูปส่งไปให้โปรตรวจ ได้รับคำชมว่าเข้าใกล้ความจริงแล้วพยายามอีกนิด ทำให้มีแรงฮึดเพิ่มขึ้นตัดสินใจทำซ้ำอีกรอบ ผลที่ออกมาแม้จะไม่เนียนกิ๊ก แต่ก็ไม่ขี้เหร่ (ไม่อยากจะบอกว่ามันอร่อยกว่าแบบที่ใช้แป้งห่อเนยซะอีก กรอบ ร่วน หอมเนย อดใจไม่ไหวเลยต้องขอตัดเลาะขอบทุกด้านออกมาจิ้มกับนมข้นหวาน แล้วก็โรยไมโล ชวนให้รำลึกถึงวัยเด็กขึ้นมาตะหงิดๆ)
ปล. ต้องขอขอบคุณคุณปุ๊กมือโปรแห่ง dailydeliciousthai มากๆ มา ณ ที่นี้ด้วยค่า สำหรับสูตรดีๆ คำติชมและกำลังใจที่มีให้

พัฟพาสตรี้
สำหรับพัฟพาสตรี้แบบที่ใช้เนยห่อแป้งดูสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่
ไข่ 1 ฟอง (สำหรับทาหน้าก่อนอบ)
น้ำตาลทรายป่นสำหรับโรยหน้าตอนอบครั้งสุดท้าย
วิธีทำ
เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส รอไว้
รีดพัฟพาสตรี้ที่ได้ให้เป็นแผ่นหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร ใช้ส้อมจิ้มให้เป็นรอยให้ทั่วแผ่น
ตีไข่ 1 ฟอง แล้วใช้แปรงทาให้บนผิวหน้า นำเข้าเตาอบประมาณ 20 นาที จากนั้นนำออกมาใช้ถาดอบที่มีน้ำหนักหน่อยอีกหนึ่งถาดทับลงไปบนพัฟพาสตรี้ (ที่บ้านถาดอบมันเบามากเลยเอาสากครกวางทับลงบนถาดอบอีกที ฮ่าๆๆๆๆ) นำเข้าอบต่ออีกประมาณ 20 นาที
จากนั้นนำออกมาจากเตา โรยน้ำตาลทรายป่นบนพัฟพาสตรี้ให้ทั่ว ปรับอุณหภูมิเตาอบเป็น 200 องศาเซลเซียส ไฟบนอย่างเดียว นำเอาถาดพัฟพาสตรี้ที่โรยน้ำตาลจนทั่วแล้วเข้าอบบนชั้นที่ใกล้ขดลวดมากที่สุด ประมาณ 5 นาที หรือจนน้ำตาลเปลี่ยนเป็นคาราเมลเคลือบบนผิวหน้า นำออกมาพักให้อุ่น ใช้มีดฟันเลื่อยสไลด์ให้ได้ขนาดตามต้องการ พักไว้ให้เย็น

พาสตรี้ครีม
สำหรับพาสตรี้ครีมดูสูตรและวิธีทำได้ ที่นี่



ส่วนตกแต่ง
พัฟพาสตรี้ที่อบและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ
พาสตรี้ครีม
เชอร์รี่ดำในน้ำเชื่อมใส
ซอสเชอร์รี่
ไวท์ช็อคโกแลต
วิธีทำ
บีบพาสตรี้ครีมลงบนแผ่นพัฟพาสตรี้ วางเชอร์รี่ลงไป บีบพาสตรี้ครีมลงไปตรงกลางระหว่างเชอร์รี่ วางแผ่นพัฟพาสตรี้อีกแผ่นลงไป ทาซอสเชอร์รี่ด้านบนแผ่นพัฟพาสตรี้ให้ทั่ว บีบไวท์ช็อคโกแลตลงไป ขีดให้เป็นลายสวยงาม เตรียมจานเก๋ๆ ยกซดเลยค่า



อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า