2011/05/18

Let's make it up by red velvet cake

วันนี้โรงเรียนของหนุ่มน้อยเค้าเปิดเทอมวันแรก คุณแม่ขาอย่างเราก็กลัวละซิทีนี้ว่าลูกจะปรับตัวไม่ทัน ไล่ลูกให้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งปลอบทั้งขู่ว่าให้รีบข่มตาหลับซะเดี๋ยวเช้ามาจะได้ไม่มีปัญหาอิดออดไม่ยอมตื่น เพราะชินกับการตื่นสายมาเป็นแรมเดือน ที่ไหนได้พลิกล็อค คนที่ปรับตัวไม่ทันดันเป็นคุณแม่ขาเสียเอง ที่ไม่ทันจะตีห้าดีก็นอนไม่หลับเอาซะแล้ว จำเป็นต้องลากสังขารลงไปขลุกอยู่ก้นครัวควงตะหลิวทำกับข้าวตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ ให้มันได้อย่างงี้ซิ แถมวาดวิมานในอากาศเอาไว้ซะสวยหรูว่าถ้าแสบพี่ไปโรงเรียนแล้วจะสบายถึงสบายมากที่สุด เพราะจะเหลือแค่แม่คุณคนน้องเอาไว้ จิ๊บจ๊อย อีกแล้วครับท่านผิดคาด แม่คุณน้องสาวเค้าดันร้องหาพี่ชายที่แสนดีทั้งวัน ร่ำๆแต่ให้แม่เล่นด้วยไม่ยอมให้พัก ยังไม่ทันถึงสิบโมงดีพิษของการตื่นเช้ากว่าปกติก็กำเริบ สมองมันเบลอๆ ร่างกายมันไม่มีแรง ปวดหัว ตัวร้อนขึ้นมากะทันหัน (แต่ไม่รู้ว่าจะไปลาป่วยกับใครดี ไม่มีหัวหน้างาน) แม่เจ้าประคุณเค้าก็ยังไม่ถึงเวลานอนกลางวัน คิดถึ๊ง คิดถึง แสบพี่มาตะหงิดๆ อย่างน้อยมีแสบพี่อยู่ด้วยกันมันก็ดีไปแปดอย่าง เวลาแต่ละวันมันก็ผ่านไปเร็วกว่าวันนี้อีก มีคนช่วยเล่นช่วยดูน้องให้ ทำไม๊ทำไมถึงได้เสือกไสไล่ส่ง เร่งวันเร่งคืนให้โรงเรียนมันรีบเปิดเทอมด้วยก็ไม่รู้ เพิ่งจะมาสำนึกได้ก็อีตอนนี้แหละ
บ่ายสามโมง ยังไม่ถึงเวลาโรงเรียนเลิกคุณแม่ขารีบหนีบน้องสาวเข้าคาร์ซีทแจ้นไปรับพี่ชายด้วยความคิดถึง กะว่าไปถึงโรงเรียนแล้วจะโผเข้าไปกอดแล้วหอมแรงๆซักฟอด พร้อมทั้งหยอดคำหวานบอกว่าคิดถึงมากขนาดไหน พ่อเจ้าประคุณก็ดันทำให้อารมณ์เสียซะก่อน จากที่จะโชว์ซีนหวานเลยต้องพลิกบทบาทอย่างแรงไปเล่นซีนอารมณ์กันเลยทีเดียว พูดไปแล้วก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก คนเป็นแม่อายุอานามก็ปาเข้าไปตั้งสามสิบกว่าแล้ว การศึกษารึก็มี วุฒิภาวะทางอารมณ์น่าจะมีมากกว่าเด็กอายุหกขวบมากอยู่ แต่ดันเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง (รึเปล่า) ของลูกมาชวนทะเลาะเป็นตุเป็นตะ (เอ หรือว่าอายุสมองของคุณแม่ขาลดลงฮวบอย่างน่าใหายลงไปต่ำกว่าลูกซะอีก) จะง้อลูกยังไงดี ครั้นจะซื้อของเล่นก็ไม่อยากสปอยล์ลูก ครั้นจะพาไปเที่ยวก็เกินไปมั้ง จะอนุญาตให้เล่นเกมก็ไม่ใช่ที่ เอางี้แล้วกันทำเค้กก้อนเล็กๆ ให้เจ้าตัวเค้าถือไปกินกับเพื่อนที่โรงรียนให้ได้หน้านิดนึงดีกว่า (จริงๆ จะว่าไปแล้ววิธีนี้คิดออกตั้งนานแล้วแหละ แต่ไม่อยากแบไต๋ เดี๋ยวจับได้หมดว่าหาข้ออ้าง)

เค้กสีแดงแรงฤทธิ์
แป้งเค้ก              125 กรัม
บัตเตอร์มิลค์          100 กรัม (ถ้าไม่มี ให้ใช้นมจืด 100 กรัม + น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชาค่า)
เนยจืด               115 กรัม
น้ำตาลทรายป่น        150 กรัม
ไข่ไก่                  1 ฟอง
ผงโกโก้                1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                 1/2 ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา           1/2 ช้อนชา
วานิลลา                1 ช้อนชา
สีผสมอาหารสีแดง     1/2 ช้อนชา (เราใช้สีเจล)
วิธีทำ
กรุก้นพิมพ์ด้วยกระดาษซิลิโคนรองอบ (วันนี้ใช้พิมพ์สี่เหลี่ยม) ร่อนแป้งเค้ก ผงโกโก้ เกลือ และ เบกกิ้งโซดา เข้าด้วยกัน เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสรอไว้ได้เลย
นำเนยชามสเตนเลส ใช้เครื่องตีแบมือถือตีให้อ่อนตัว แล้วค่อยๆทะยอยใส่น้ำตาลทรายป่นลงไป (ถ้าเค้กที่ต้องตีเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู แนะนำให้ป่นน้ำตาลก่อนให้ละเอียด เวลาตีเนยกับน้ำตาลจะได้เป็นเนื้อเดียวกันโดยที่เนยจะไม่เหลวไปซะก่อนขึ้นฟู อากาศบ้านเรามันร้อน) ตีให้ขึ้นฟูใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที อย่าลืมคอยปาดรอบชามด้วยนะค้า
ตีไข่ สีผสมอาหาร และวานิลลาให้เข้ากัน ค่อยๆ รินไข่ลงไปขณะที่ตีด้วยความเร็วต่ำ ตีให้เข้ากันและก็อย่าลืมคอยปาดรอบชามด้วยเช่นกันนะค้า


แบ่งส่วนของแป้งออกเป็นสามส่วน บัตเตอร์มิลค์สองส่วน ใส่แป้งลงไปในส่วนผสมของไข่และเนยก่อน ตะล่อมให้เข้ากัน ใส่ส่วนของบัตเตอร์มิลค์ ตะล่อมให้เข้ากัน ทำสลับไปเรื่อยๆ จนจบที่ส่วนของแป้ง ตะล่อมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวเป็นอันเสร็จ เทใส่พิมพ์ อบได้เลยประมาณ 25 นาที (อันนี้ก็แล้วแต่เตาอบและชนิดของพิมพ์ค่า)


นำเค้กออกจากเตา ใช้ปลายมีดแซะขนมให้หลุดจากขอบพิมพ์ คว่ำพิมพ์ลงพักไว้ให้อุ่นจนเกือบเย็น (ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้ตัวเค้กมันแห้ง อันนี้คิดเอาเองนะ เพราะทำแบบนี้ทีไรรู้สึกว่าเนื้อเค้กมันก็นุ่มชุ่มฉ่ำทุกที)




ครีมชีสฟรอสติ้ง
ครีมชีส (นิ่ม)     250 กรัม
เนยจืด (นิ่ม)      115 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง      120 กรัม
เกลือ             1/4 ช้อนชา
น้ำมะนาว          1 ช้อนชา
วิธีทำ
ตีครีมชีส เกลือ และน้ำมะนาวให้เนียน จากนั้นใส่เนยลงไปตีผสมให้เข้ากันดี ทะยอยใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป ตีให้เข้ากันจนได้ครีมที่เนียน




ส่วนตกแต่ง
ราสเบอร์รี่ซอส
วิธีทำ
สไลด์เค้กเป็นสองส่วน ปาดครีมชีสฟรอสติ้งให้ทั่วบนเค้กชั้นแรก นำเค้กอีกชั้นมาประกบ ปาดครีมครีมชีสฟรอสติ้งคลุมทั่วทั้งก้อน ตกแต่งจานด้วยราสเบอร์รี่ซอส ตัดเสริฟเป็นอันเสร็จพิธี


                   




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า






No comments:

Post a Comment