2011/05/28

One hour chocolate recipe

เกิดอาการอยากหวานขึ้นมาตะหงิดๆ ทั้งที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดแต่ทำไมไม่ยักกะหยุดที่จะโหยหาของพวกนี้มาปิดปากก็ไม่รู้ แต่ความขี้เกียจมันไม่ปรานีใคร แค่จะกระดิกตัวลุกขึ้นจากเตียงก็ต้องใช้พลังมหาศาล ไม่อยากใช้แรงมากเดี๋ยวจะพาลผอมอีก จะทำอะไรดีที่มันเร็วๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
คลานเข่าเข้าโหมดประหยัดพลังงานลงไปค้นตู้เย็น รอดแล้วเรา เจอไอติมวานิลลาอยู่หนึ่งกล่อง คิดจะรับทานไอติมอย่างเดียวสมองมันสั่งให้กลัวว่าชุดที่มีอยู่ในตู้เสื้อผ้าจะต้องโละอีกรอบ ทำไงดีน้อ งั้นต้องหาของขมๆ มาเบรค และเจ้าสิ่งนั้นมันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเค้กช็อคโกแลต (แต่ต้องเอาอย่างที่ง่ายและเร็ว เดี๋ยวจะลงแดงตายซะก่อน) มัวแต่พล่ามอย่างเดียวไม่ได้ ลงมือทำเลยละกัน

เค้กช็อคโกแลต
แป้งอเนกประสงค์     1/4 ถ้วยตวง
ดาร์คช็อคโกแลต      200 กรัม
เนยสด               170 กรัม
น้ำตาลทราย         1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่                 4 ฟอง (แยกแดง-ขาว)
ผงโกโก้               1 ช้อนโต๊ะ
วานิลลา               1 ช้อนชา
เกลือ                1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
นำดาร์คช็อคโกแลตและเนยสดเข้าไมโครเวฟครั้งละ 30 วินาที 3 ครั้ง นำออกมาคนให้ละลาย เติมวานิลลาลงไปคนให้เข้ากันอีกที พักไว้


ร่อนแป้ง ผงโกโก้ เข้าด้วยกันพักไว้ เตรียมพิมพ์ (วันนี้ใช้พิมพ์กลมไม่มีก้นเลยต้องใช้อลูมิเนียมฟอยล์ปิดก้นเอาไว้) เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียสรอไว้
นำไข่ขาวใส่โถผสม ตีให้เป็นฟองหยาบๆ ค่อยๆ เทน้ำตาลทรายลงไป ตีให้ขึ้นฟูตั้งยอดกลางถึงแข็ง


ทะยอยใส่ไข่แดงลงไปทีละฟอง ตีให้เข้ากัน (อย่าลืมคอยใช้พายยางปาดเศษไข่แดงที่ติดอยู่รอบโถผสม) ใส่แป้งที่ร่อนรวมกับผงโกโก้ ลงไป ตะล่อมให้เข้ากัน


จากนั้นใส่ส่วนของช็อคโกแลตลงไป ตะล่อมให้เข้ากัน เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ นำเข้าเตาอบประมาณ 15 นาที นำออกจากเตามาพักให้คลายร้อน ใช้ปลายมีดแซะรอบพิมพ์แล้วนำเค้กออกมา



ส่วนตกแต่ง
น้ำตาลไอซิ่ง
ไอศครีมวานิลลา
ผลไม้สดตามชอบ
วิธีทำ
โรยน้ำตาลไอซิ่งบนเค้กช็อคโกแลต ตักไอศครีมวางไว้ด้านบนพร้อมกับผลไม้ เตรียมช้อนตักเข้าปาก อย่ารอนานเดี๋ยวไอศครีมละลายไม่รู้ด้วย



อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/05/27

Les fruits rouges, living in parisian life


ถอยหนังสือเบเกอรี่เล่มใหม่ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นผ่านทาง amazonjapan  มาตั้งหลายเล่ม ก่อนที่จะตัดสินใจแอบขอคำปรึกษาจากกูรูหนังสือเบเกอรี่ญี่ปุ่นอย่างคุณปุ๊กแห่ง dailydelicious เจ้าแม่ของวงการก่อนล่วงหน้าว่าเล่มไหนควรกวาดซื้อมาเก็บไว้บนหิ้ง (ขอเน้นรูปมากกว่าอักษรเพราะภาษานี้ไม่กระดิกหูและมือเอาซะเลย) เพื่่อป้องกันความผิดพลาด  ทั้งหมดทั้งปวงก็ต้องโทษสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากิเลส ความอยากได้ใคร่มีเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโดยไร้ซึ่งสติ ถึงจะบาปก็ยอมอ่ะนะ จะดันทุรังสั่ง ก็รูปปกหนังสือมันยั่วยวนซะขนาดนั้น ใครบ้างจะทนไหว
ยลโฉมหนังสือกันหน่อย

ยิ่งพอได้มันมาอยู่ในครอบครองยิ่งแล้วใหญ่ บ้าถึงขนาดที่เรียกว่างมงาย สูตรไหนๆก็น่าลองทำไปหมด ดูดีมีชาติตระกูลยิ่งนัก จัดการหลับหูหลับตาจิ้มเลือกออกมาหนึ่งอย่าง (ขืนไม่หลับตาจิ้มเป็นได้ไม่ต้องทำมัน เพราะละลานตาไปหมด) แค่ชื่อเรียกก็กิ๊บกินขาด
ปล. แอบชื่นชมหนังสือที่ได้มานิดนึง หนังสือญี่ปุ่นนี่มันมีดีหลายอย่าง รูปประกอบเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่วัตถุดิบที่ต้องใช้ ขั้นตอนการทำ และยังไม่รวมถึงผลลัพท์ที่ออกมาสุดยอดมากๆ ดูแค่รูปก็ได้แรงบันดาลใจสุดๆ ช่างคุ้มค่ากับการดิ้นรนไขว่ขว้ามาเป็นเจ้าของ



แป้งพายหวาน
แป้งอเนกประสงค์     150 กรัม
เนยสดเย็นจัด        100 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง          40 กรัม
อัลมอนด์             40 กรัม
เกลือ               1/4 ช้อนชา
ไข่ไก่                30 กรัม (ตีไข่หนึ่งฟองให้เข้ากัน ใช้แค่ 30 กรัม)
วานิลลา               1 ช้อนชา
วิธีทำ
นำแป้ง น้ำตาลไอซิ่ง อัลมอนด์ เกลือ เข้าเครื่องปั่นให้ละเอียด นำออกมาใส่ชามผสม ตัดเนยสดเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในชามผสม ให้ส้อมตัดเนยกับแป้งให้เป็นเม็ดร่วนๆ ใส่วานิลลาลงในไข่แล้วเทลงไในชามผสม ใช้มือนวดให้พอเข้ากัน แต่อย่านานมากเดี๋ยวเนยจะละลาย นำเข้าใส่ถุงที่ปิดสนิทแช่ตู้เย็นข้ามคืน

เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส โรยแป้งนวลบนโต๊ะที่ใชีรีดแป้งบางๆ นำแป้งพายออกจากตู้เย็นมารีดเป็นแผ่นหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร กรุลงในพิมพ์ตามแบบที่ต้องการ ใช้ส้อมจิ้มฐานของแป้งพายให้เป็นรูให้ทั่ว นำถั่วแห้งหรือข้วสารวางบนอะลูมิเนียมฟอยล์ แล้ววางทับลงบนแป้งพายที่กรุไว้ในพิมพ์ (เพื่อให้เวลาแป้งสุกแล้วไม่พองตรงกลาง)


นำเข้าเตาอบประมาณ 15 นาที นำออกมาจากเตาอบยกเอาอลูมิเนียมฟอยล์และถั่วออก นำเข้าอบต่อีกประมาณ 5 นาที หรือจนสีเหลืองสวย นำออกมาพักให้เย็นสนิทก่อนใส่ใส้



ครีมราสเบอร์รี่
ราสเบอร์รี่       50 กรัม
น้ำตาลทราย     100 กรัม
นม            200 มล.
ไข่แดง          2 ฟอง
แป้งข้าวโพด     20 กรัม
เกลือ          1/8 ช้อนชา
เหล้าราสเบอร์รี่    1 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม       150 มล.
วิธีทำ
นำน้ำใส่หม้อขึ้นตั้งไฟให้เดือดรุมๆ
บดราสเบอร์รี่ผ่านกระชอนตาถี่เพื่อแยกเอาเม็ดออก
นำราสเบอร์รี่ที่ได้เทลงในชามทนความร้อน ที่มีไข่แดง น้ำตาล เกลือ และแป้งข้าวโพดอยู่ ใช้ตะกร้อมือคนผสมให้เข้ากัน เทนมลงไป คนให้เข้ากันก่อนนำขึ้นตั้งบนหม้อที่มีน้ำเดือดอยู่รุมๆ ใช้ตระกร้อมือคนตลอดเวลาเพื่อให้ส่วนผสมเนียน


คนจนส่วนผสที่ได้ข้นขึ้น นำชามออกจากเตา ยังคงใช้ตะกร้อมือคนไปเรื่อยๆให้ค่อยๆคลายความร้อน เติมเหล้าราสเบอร์รี่คนให้เข้ากันดี ใช้พลาสติกแรปปิดหน้าครีมที่ได้เอาไว้ เพื่อไม่ให้หน้าแห้งแข็ง รอจนเย็นสนิท (แอบนำเข้าตู้เย็นเพราะขี้เกียจรอนาน)
ใช้เครื่องตีมือถือตีวิปปิ้งครีมจนขึ้นฟู ตะล่อมวิปปิ้งครีมลงในครีมราสเบอร์รี่ที่พักไว้ นำไปใส่ลงในแป้งพายที่อบแล้วพักไว้จนเย็น


ส่วนตกแต่ง
ผลไม้สดตามชอบ
แอปริคอทเกลซ
น้ำตาลไอซิ่ง
วิธีทำ
ใช้แปรงจุ่มแอปริคอทเกลซทาเคลือบผิวแป้งพายให้ขึ้นเงา ใส่ใส้ครีมราสเบอร์รี่ลงไปในแป้งพายให้พอดีขอบ เรียงผลไม้สดตามชอบลงไป โรยด้วยไอซิ่งเป็นอันพร้อมบริโภค




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/05/25

Mashmallow deepin choc; A chocolate cake worth to die for


อาทิตย์ก่อนมีโอกาสไปนั่งชิลล์ในร้านเบเกอรี่ชื่อดังที่ ลาวิลล่า พหลโยธินกับน้องสาวมา คุณเธอปลื้มมากกับไอ้เจ้าซิกเนเจอร์เค้กช็อคโกแลตของร้านที่มีชื่อเก๋ไก๋ว่า "ควีนบี" จัดแจงสั่งมาให้พี่สาวอย่างเรารับทาน ตักไปเมาท์ไปจนหมดคุณเธอก็เอ่ยปากว่าอาทิตย์หน้าให้คุณพี่สาวทำแบบนี้ให้หน่อยจะมารับเอาเองถึงที่บ้านเลย แล้วจะเอาไปฝากเพื่อนที่ทำงานด้วย เอาล่ะซิ ไอ้แค่ประโยคที่ว่าทำให้หน่อยนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ที่จะหิ้วไปฝากเพื่อนด้วยนี่ซิยุ่ง (แบบว่ากลัวเสียหน้าอย่างแรง) ปากก็ดันมัวแต่เมาท์มอย มือรึก็คอยแต่จ้วงของในจานเข้าปาก ไม่ทันได้สังเกตุสังการูปร่างหน้าตาเจ้าขนมนี้ซักเท่าไหร่ รู้แต่ว่ามันเยอะไปด้วยช็อคโกแลตแต่ไม่เลี่ยน และพอคุ้นๆจำได้ลางๆ ว่าด้านล่างสุดเป็นเค้กชุ่มๆ ชั้นถัดมาเป็นดาร์คช็อคโกแลตมูส แอบมีมาร์ชมาลโลว์แซมอยู่ด้วย แล้วราดด้วยช็อคโกแลตกานาซ ไม่เป็นไรมั่วมืออาชีพทำได้อยู่แล้ว ใส่อะไรให้มันมากๆเข้าไว้เป็นเริ่ด ผลออกมาอร่อยแต่ว่ายังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร เพราะตัวช็อคโกแลตมูสของที่ร้านมันต้องเข้มหนักกว่านี้ แต่นี่มันนุ่มเบา คิดว่าครั้งหน้าจะลองเปลี่ยนเป็นช็อคโกแลตมูสแบบที่ใช้ไข่ขาว น่าจะเวิร์คกว่า ไว้ลองใหม่ อย่าได้แคร์

เค้กช็อคโกแลต
แป้งเค้ก             100 กรัม
เนยสด              100 กรัม (พักไว้นอกตู้เย็นประมาณ 5นาที)
น้ำตาลทรายป่น       100 กรัม
ดาร์คช็อคโกแลต     150 กรัม
ไข่ไก่                 4 ฟอง (แยกแดง-ขาว)
เกลือ               1/8 ช้อนชา
น้ำเปล่า             1/8 ถ้วย
น้ำตาลทราย          1 ช้อนโต๊ะ
Baileys             1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ปูกระดาษซิลิโคนรองอบลงในพิมพ์กลมขนาด 9 นิ้ว นำดาร์คช็อคโกแลตเข้าไมโครเวฟครั้งละ 15 วินาที 2 ครั้ง นำออกมาคนให้ละลาย พักไว้
ร่อนแป้ง แบ่งน้ำตาลออกเป็น 2 ส่วน เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสรอไว้ ในโถผสมตีเนยกับเกลือให้นิ่ม นำน้ำตาลส่วนแรกทะยอยเติมลงไป ตีให้ขึ้นฟูขาว


ทะยอยเติมไข่แดงลงไปทีละฟอง ตีให้เข้ากัน คอยปาดขอบอ่างให้เกลี้ยงอย่าให้มีเศษไข่แดงติดอยู่ ค่อยๆเทช็อคโกแลตที่ละลายแล้วลงไปผสมกับส่วนของเนยกับไข่ ใช้ความเร็วต่ำจนส่วนผสมเข้ากันดี เติมแป้งลงไปตะล่อมให้เข้ากัน พักไว้



นำไข่ขาวใส่ลงไปในโถผสมอีกหนึ่งใบที่แห้งและไม่มีคราบไขมัน ตีให้เป็นฟองหยาบๆ ทะยอยเติมน้ำตาลส่วนที่สองลงไป ตีต่อจนตั้งยอดกลางถึงแข็ง (ผิวของไข่ขาวเป็นมันวาวไม่ถึงกับแห้ง) แบ่งไข่ขาวครึ่งนึงไปตะล่อมผสมกับส่วนของช็อคโกแลตให้เข้ากัน แล้วจึงตะล่อมไข่ขาวส่สนที่เหลือลงไป ตะล่อมให้เข้ากันแล้วเทใส่พิมพ์ที่รองด้วยกระดาษซิลิโคนรองอบเอาไว้


นำเข้าเตาอบประมาณ 25 นาที หรือจนเค้กสุก (ใช้ไม้จิ้มลงไป ยกขึ้นมาแล้วไม่มีแฉะๆติดขึ้นมาเป็นอันใช้ได้) นำเค้กที่อบเสร็จแล้วออกมาพักบนตะแกรงประมาณ 5 นาที ใช้มีดปลายแหลมแซะรอบพิมพ์ คว่ำพิมพ์ลงนำเค้กออกมาผึ่งบนตะแกรงแค่พออุ่น สไลด์ส่วนด้านบนที่นูนออกมาออกไปให้เรียบ ตัดเป็นรูปวงกลมให้มีขนาดเท่ากับพิมพ์มูสกลมขนาด 8 นิ้ว นำเค้กที่ตัดได้ขนาดแล้ววางลงในพิมพ์ นำน้ำ และน้ำตาลทรายเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที นำออกมาคนให้น้ำตาลละลาย เติม Baileys ลงไป คนให้เข้ากัน ใช้แปรงจุ่มน้ำเชื่อมทาบนเค้กให้ชุ่ม พักไว้แล้วทำส่วนของมูสช็อคโกแลตต่อ


มูสดาร์คช็อคโกแลต
วิปปิ้งครีม          210 มล. (ส่วนแรก)
ไข่แดง             3 ฟอง
ดาร์คช็อคโกแลต    210 กรัม
เจลาตินผง          2 ช้อนชา
น้ำเย็น              1 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม          450 มล. (ส่วนที่สอง)
เกลือ              1/4 ช้อนชา
Baileys            1 ช้อนโต๊ะ
มาร์ชมาลโลว์       75 กรัม
วิธีทำ
บลูมเจลาตินโดยการใส่เจลาตินลงในน้ำเย็น ทิ้งไว้จนเจลาตินซับน้ำหมดและพองตัว
นำน้ำใส่หม้อขึ้นตั้งไฟให้เดือดรุมๆ นำไข่แดง และวิปปิ้งครีมส่วนแรก ใส่ลงในชามทนความร้อน ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน นำชามไข่แดงกับวิปปิ้งครีมขึ้นตั้งบนหม้อที่มีน้ำเดือดรุมๆ ใช้ตะกร้อมือคนตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ไข่สุกแล้วจับตัวเป็นลิ่ม (เดี๋ยวมูสไม่เนียน) คนไปเรื่อยๆจนส่วนผสมข้นขึ้น ยกลง เติมเจลาตินที่พองได้ที่แล้วลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นเทดาร์คช็อคโกแลตและ Baileys ลงไปคนให้ละลายเข้ากัน ลงไป คนให้ละลายเข้ากัน พักไว้ ในโถผสมอีกใบเทวิปปิ้งครีมส่วนที่สองลงไปกับเกลือ ตีให้ขึ้นฟูตั้งยอดอ่อนถึงกลาง



แบ่งวิปปิ้งครีมที่ขึ้นฟูแล้วครึ่งหนึ่งมาตะล่อมลงในส่วนของช็อคโกแลต ตะล่อมให้เข้ากันดีก่อนที่จะเทวิปปิ้งครีมส่วนที่เหลือลงไปเพิ่ม ตะล่อมให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทลงบนพิมพ์ที่รองด้วยเค้กช็อคโกแลตเอาไว้ ไม่ต้องเกลี่ยให้เรียบ โรยมาร์ชมาลโลว์ลงไป นำเข้าช่องฟรีซให้เซตตัว


ช็อคโแลตกานาซ
วิปปิ้งครีม        150 มล.
ดาร์คช็อคโกแลต  150 กรัม
เนยสด            1 ช้อนโต๊ะ
Baileys          1 ช้อนชา
วิธีทำ
นำดาร์คช็อคโกแลตและวิปปิ้งครีมใส่ชามเข้าไมโครเวฟประมาณ 50 วินาที นำออกมาคนให้ละลาย ถ้าช็อคโกแลตยังละลายไม่หมดให้นำเข้าไมโครเวฟต่ออีก 15 วินาที แล้วนำออกมาคนให้ละลายเข้ากัน เติมเนยสด และ Baileys ลงไปคนให้ละลายเข้ากัน


ส่วนตกแต่ง
ช็อคโแลตกานาซ
วิธีทำ
นำเค้กออกจากพิมพ์ โดยใช้ดรายเป่าผมเป่าด้านข้างพิมพ์โดยรอบ ยกเค้กออกมาวางไว้บนตะแกรงที่มีถาดรองไว้ ราดด้านบนเค้กด้วยกานาซ รอให้เซตตัวสักครู่ ตัดแบ่งแจกจ่ายเพื่อนฝูงได้เลย





อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/05/24

Upside down pineapple cake, simple but unique


เย็นวานนี้คุณสามีหอบเอาเข่งผลไม้เข้าบ้านมา ศรีภรรยารีบปรี่เข้าไปสังเกตุการณ์ทันที แอบผิดหวังเล็กน้อยที่ในเข่งเต็มไปด้วยสัปปะรดภูแล ถามไถ่คุณสามีว่ามีผู้ใดเค้ามีจิตพิศวาสยกเข่งมาให้เช่นนี้ คำตอบที่ได้ก็เรียบๆไม่หวือหวา ก็คุณลูกค้าที่เคารพนั่นแหละ จัดการแบ่งให้ลูกน้องครบทุกคนแล้วก็ยังเหลืออีกตั้งเป็นสิบลูก นั่งพินิจพิเคราะห์สัปปะรดที่เหลืออยู่ด้วยความกลัดกลุ้มว่าจะกำจัดยังไงให้หมดไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะเน่าเสียของ ครั้นจะบริโภคสดๆ ที่บ้านรึก็ไม่ค่อยมีใครโปรดซักเท่าไหร่ นึกขึ้นมาได้ก็เอามันไปทำเค้กดีกว่า เค้กที่ว่านี้มันเป็นเค้กกายกรรมเชียวนะ เพราะเวลาจะเสริฟต้องกลับบนลงล่างไง เก๋ซะ วัตถุดิบก็พร้อม คนทำไม่ต้องบอกยิ่งพร้อมกว่า ไม่สมควรที่จะรอช้า เอ้า!ลงครัวตอนดึกอีกรอบ

ซอสคาราเมล
น้ำตาลทรายสีรำ     3/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย        3/4 ถ้วย
น้ำปล่า              2 ช้อนโต๊ะ
เนยสด             60 กรัม
สัปปะรดฝานแว่น     6 ชิ้น (หนาประมาณ 1 เซนติเมตร)
วิธีทำ
นำน้ำ และน้ำตาลทั้งสองอย่างใส่ลงไปในหม้อยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ไม่ต้องคน ปล่อยให้น้ำตาลละลายให้หมดยกลงแล้วเติมเนยสดลงไป คนให้เข้ากัน เทใส่ในพิมพ์ วางสัปปะรดลงไปบนซอสคาราเมล พักไว้แล้วเตรียมทำส่วนของเค้กเนย


เค้กเนย
แป้งอเนกประสงค์ 150 กรัม
น้ำตาลทราย     150 กรัม
เนยสด         115 กรัม
ไข่ไก่            2 ฟอง
วิปปิ้งครีม       1/2 ถ้วย
ผงฟู             1 ช้อนชา
วานิลลา          1 ช้อนชา
เกลือ          1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้งกับผงฟูเข้าด้วยกันพักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียสรอไว้
ตีไข่ให้พอแตกเข้ากัน ใส่วานิลลาลงไปคนให้เข้ากัน นำเนยสดใส่ในชามสเตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีเนยให้อ่อนตัว เติมน้ำตาลลงไปตีต่อให้ฟูและมีสีอ่อนลง ทะยอยเทไข่ลงไปทีละนิดตีให้เข้ากัน


แบ่งส่วนของแป้งออกเป็นสามส่วน นมสองส่วน ใส่แป้งส่วนแรกลงไปในส่วนผสมของไข่กับเนย ตะล่อมให้เข้ากัน เทนมลงไปหนึ่งส่วนตะล่อมให้เข้ากัน ทำสลับกันไปจนจบที่ส่วนของแป้ง ตะล่อมให้เข้ากัน


เทแบทเทอร์ของเค้กที่ได้ลงในพิมพ์ที่มีซอสคาราเมลและสัปปะรดอยู่ กะให้ความสูงของแบทเทอร์ของเค้กที่เทลงไปประมาณ 3/4 ของพิมพ์ นำเข้าเตาอบประมาณ 20 นาที นำออกมาพักไว้ประมาณ  2 นาที ใช้ปลายมีดแซะเค้กให้หลุดจากขอบแล้วรีบคว่ำพิมพ์ลงบนจานก่อนที่คาราเมลด้านล่างจะแข็งตัวทำให้เค้กไม่ยอมหลุดออกจากพิมพ์ เป็นอันเสร็จ อร่อยได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องพิถีพิถัน




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/05/22

Warm welcome back with cold dessert; Caramel macchiato mousse


คุณยายกลับมาแล้ว เย้!!!!!! คุณแม่ขาดีใจมากมายอย่างออกนอกหน้า จะไม่ให้ดีใจได้ยังไง ก็ในเมื่อมีคุณยายสบายใจกว่ามีพี่เลี้ยงตั้งเยอะแบบที่เทียบกันไม่ติดเลย จะไปไหนฝากลูกไว้ได้โดยไม่ต้องคอยห่วงว่าจะแอบหยิกซอกรักแร้ของทะโมนทั้งสองตัวยามที่เราไม่อยู่ (เพราะแค่คุณแม่ขาเงื้อมือไปสะกิดตูดลูกนิดหน่อย คุณยายยังงอนเป็นวันเลย) คอยหาเข้าปลาให้คุณหลานกินโดยเราไม่ต้องคอยออกปากฝากฝัง อาบน้ำอาบท่าให้ทุกเวลาที่คุณยายคิดว่าสกปรก (มากกว่าวันละสองครั้ง) เป็นเพื่อนเล่นและพูดคุย (บางทีก็จ้อมากกว่าคุณหลานซะอีก) และอะไรอย่างอื่นอีกจิปาถะมากมาย แต่ไม่รวมเวลาที่งุ๊งงิ๊งง่อนแง่นกับคุณแม่ขานะค้า เวลานั้นไม่นับค่าเอาเป็นว่าสรุปรวมแล้วมีคุณยายสบายทั้งกายสบายทั้งใจไปร้อยแปด
อย่างนี้มันต้องฉลองกันนิดซะแล้ว ขอย้ำหน่อยว่าแค่นิดเดียวนะ เพราะคุณหมอออกปากขอร้องแกมบังคับให้กระชับการบริโภคอาหารหวานของคุณยายในขั้นเกือบเด็ดขาด แต่จะทำอะไรดีล่ะทีนี้ให้มันมีความพิเศษมากหน่อยในชิ้นขนาดจิ๋ว
อืมมมม ขอคิดดูก่อนน้า คุณยายเค้าชอบทานกาแฟมากถึงมากที่สุด และในบรรดากาแฟที่โปรดปรานนั้นที่เป็นที่สุดของที่สุดก็หนีไม่พ้นเจ้านี่ คาราเมลแมคคิอาโต งั้นก็ลงตัวเป๊ะเลยกับมินิคาราเมลแมคิอาโตมูสเค้ก เล็กๆแต่อัดแน่นเอี๊ยดด้วยคุณภาพ ลองนึกภาพไปพลางๆดูก่อนนะ มูสมาสคาร์โปนชีสที่แอบมีกลิ่นอายของกาแฟ สอดใส้ด้วยเยลลี่กาแฟที่มีดีกรีของแอลกอฮอล์อยู่ด้วย นอนก่ายอยู่บนสปันจ์เค้กเนื้อนิ่ม เคลือบคาราเมลหนาหน่อย ประกบด้วยมาคาฮองรสกาแฟ ราดด้วยซอสช็อคโกแลต ว้าว ว้าว แค่คิดก็แทบกลืนน้ำลายไม่ทันแล้ว อย่ารอรีช้าไม่ได้เดี๋ยวไม่ทันการ

เยลลี่กาแฟ
น้าสะอาดเย็น     1 ถ้วย
น้ำตาลทราย      3 ช้อนโต๊ะ
กาแฟผงสำเร็จรูป  1 ช้อนโต๊ะ
เหล้ากาแฟ       1 ช้อนชา
เจลาติน          2 ช้อนชา
วิธีทำ
นำเจลาตินใส่ลงในน้ำ รอให้เจลาตินดูดน้ำแล้วพองตัวซัก 5 นาที เติมน้ำตาลทรายลงไป นำเข้าไมโครเวฟให้เริ่มเดือด แล้วนำออกมาเติมกาแฟผงลงไป คนให้ละลาย รอให้อุ่น เทเหล้ากาแฟลงไปเทใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่กรุด้วยอลูมิเนียมฟอยล์เอาไว้เหมือนรูปด้านล่าง เพื่อให้ง่ายต่อการนำออกมาเมื่อเซ็ตตัวแล้ว นำเข้าแช่ช่องฟรีซจนแข็งตัว ระหว่างรอก็ไปเตรียมทำมาคาฮองรสกาแฟกัน


มาคาฮองกาแฟ
ไข่ขาว                25 กรัม (ทิ้งไว้นอกตู้เย็น 2 วัน)
น้ำตาลทราย            7 กรัม
อัลมอนด์สไลด์หรือป่น     35 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง           50 กรัม
กาแฟผงสำเร็จรูป                      1 ช้อนชา
วิธีทำ
จัดการนำกระดาษซิลิโคนรองอบปูบนถาดอบเอาไว้ ติดหัวบีบแบบกลมไว้ในถุงบีบรอเลยค่า
นำอัลมอนด์ กาแฟผงปั่นรวมกับน้ำตาลไอซิ่งจนละเอียด ร่อน 2 ครั้ง (ทำให้ผิวของมาคาฮองเนียนน่าลูบไล้ เหอ เหอ เหอ เพ้อเจ้ออีกแระ) พักไว้
นำไข่ขาวใส่ในชามแห้ง ไร้คราบไขมัน (แบบว่าน้องไข่ขาวเค้าออนไดเอตตลอดเวลา ไม่งั้นเดี๋ยวตีแล้วไม่ขึ้นไม่รู้ด้วย) ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองละเอียดเล็กๆ ทะยอยใส่น้ำตาลลงไป ตีให้ตั้งยอดอ่อน เติมสีผงลงไป ตีต่อให้สีพอสม่ำเสมอ (อย่าตีให้ไข่ขาวตั้งยอดเลยยอดกลางนะเดี๋ยวมาคาฮองที่ได้จะเหนียว เคี้ยวแล้วฟันปลอมหลุด)
 จากนั้นแบ่งส่วนของอัลมอนด์เป็นสามส่วน ทะยอยลงไปตะล่อมให้เข้ากัน (ใจเย็นนิด) เสร็จแล็วก็เอาใส่ถุงบีบที่เตรียมไว้ บีบหยอดลงบนถาด (ส่วนใหญ่มืออาชีพเค้าจะวาดรูปวงกลมตามขนาดมาคาฮองที่ต้องการเอาไว้ จะได้ง่ายต่อการหยอด แต่เราขี้เกียจจัด บีบไปเลยตามมีตามเกิด เล็กบ้างใหญ่บ้าง กะน้ำหนักมือเอา) บีบหยอดให้ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว เพราะเดี๋ยวมันจะแผ่ออกอีกนิด จับถาดกระแทกแรงๆ ซักสองสามครั้ง (ที่ของเราจับโยนโครม เหอ เหอ เหอ)เพื่อไล่ฟองอากาศในมาคาฮองออก อบออกมาแล้วจะได้ไม่ปูดๆ กลวงๆ

หลังจากนี้ต้องรอนะค้า รอมันลูกเดียว รอให้ผิวหน้าของมาคาฮองแห้ง แบบที่เวลาเอานิ้วไปแตะแล้วไม่ติดนิ้วขึ้นมา (อันนี้สำคัญมาก เพราะมาคาฮองจะได้มีกะโปรงที่สวยงาม หน้าไม่แตกยับเยิน) เวลาที่พักผิวก็ประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วแต่สภาวะความชื้นในอากาศ แล้วค่อยเปิดเตาอบที่ 150 องศาเซลเซียส ไฟล่างอย่างเดียว รอให้ความร้อนทั่วถึงประมาณ 10 นาที แล้วค่อยนำถาดมาคาฮองเข้าเตาอบ วางถาดไว้ชั้นบนสุดให้ห่างความร้อนมากที่สุด จะช่วยให้ผิวหน้าของมาคาฮองไม่แตก อบประมาณ 12-15 นาที (อันนี้แล้วแต่เตาอีกเช่นเคย แนะนำให้นั่งเฝ้าอีกแล้ว ถ้าทำมากกว่าหนึ่งถาดก็ทะยอยอบเอา เคยอบพร้อมกันแล้วเจ๊ง)เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นค่อยแกะออก
สปันจ์เค้ก
แป้งเค้ก      55 กรัม
แป้งข้าวโพด   5 กรัม
น้ำตาล       55 กรัม
ไข่           2 ฟอง (แยกไข่แดง-ขาว)
เนย         10 กรัม
นม           10 มล.
น้ำมัน       10 มล.
วานิลลา     1/2 ช้อนชา
เกลือ        1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้งทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส
นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง ใส่ไข่แดงทีละฟองตีให้เข้ากัน ทะยอยเติมแป้งลงไป ตะล่อมให้เข้ากันดี
เทน้ำมันใส่ชามอีกใบ นำนมกับเนยเข้าไมโครเวฟนาน 20 วินาที แล้วนำมาเทผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งหนึ่งในสามของส่วนผสมของไข่กับแป้งมาตะล่อมกับส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับไปผสมกับส่วนผสมของไข่กับแป้งที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่ถาดอบ เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที นำออกมาพักไว้ให้พออุ่น คว่ำออกจากถาด ตัดเป็นรูปทรงตามต้องการ (วันนี้เป็นเป็นวงกลมขนาดพอดีกับฐานของพิมพ์ซิลิโคนทรงโดม)
* การที่ทำให้ส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันอุ่นขึ้น จะช่วยให้ผสมเข้ากับส่วนผสมของไข่กับแป้งได้ดีขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ก้นพิมพ์แล้วทำให้เค้กด้านล่างแข็งเป็นไต นอกจากนี้การแบ่งส่วนของแป้งกับไข่มาผสมกับส่วนของนม เนย และน้ำมัน ก็มีส่วนช่วยให้ผสมได้ง่ายเช่นเดียวกัน*


มูสกาแฟมาสคาร์โปนชีส
มาสคาร์โปนชีส      125 กรัม
ไข่แดง      2 ฟอง
กาแฟผงสำเร็จรูป     3 ช้อนชา
ไข่ขาว     2 ฟอง
น้ำตาลทราย     50 กรัม
วิธีทำ
เริ่มด้วยตีไข่แดงให้ฟู (สังเกตสีที่จะอ่อนลง) เติมกาแฟผงลงไปคนให้ละลายเข้ากัน  นำมาสคาร์โปนชีสลงไปคนผสมให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็น
นำเยลลี่กาแฟที่แข็งตัวแล้วออกจากช่องฟรีซ ตัดเป็นวงกลมให้มีขนาดเล็กกว่าพิมพ์มูสทรงกลม เก็บเยลลี่ที่ได้เข้าตู้เย็นไว้ก่อน
จากนั้นก็เริ่มทำสวิสเมอร์แรง นำน้ำใส่หม้อตั้งไฟให้เดือดรุมๆ ลดไฟลงให้อ่อน เอาน้ำตาลกับไข่ขาวใส่ในชามสะอาดทนความร้อน นำชามขึ้นตั้งบนหม้อที่มีน้ำเดือด ใช้ตะกร้อมือคนเรื่อยๆ จนน้ำตาลทรายละลายหมด (ระวังอย่าให้น้ำเดือดมาก เดี๋ยวไข่ขาวจะสุกซะก่อน และต้องคนไปเรื่อยๆ อย่าหยุด) และไข่ขาวอุ่นแต่ไม่ร้อนมากเกิน ประมาณ 40 องศาเซลเซียส (เอาหลังนิ้วแตะดู ร้อนแบบพอทนได้ไม่รีบชักนิ้วกลับเสียก่อน) เอาชามออกมา ใช้เครื่องตีมือถือตีส่วนผสมของไข่ขาวจนเย็นตัวก็จะได้เมอร์แรงที่มีสีขาวลักษณะคล้ายครีมโกนหนวด แบ่งหนึ่งในสามของเมอร์แรงไปตะล่อมกับส่วนของครีมที่ทำพักไว้ ตะล่อมให้เข้ากัน แล้วจึงนำส่วนของเมอร์แรงที่เหลือใส่ลงไปจนหมด ตะล่อมให้เป็นเนื้อเดียวกันจะได้ครีมที่อยู่ตัว
เทมูสที่ได้ใส่ลงไปในพิมพ์ซิลิโคนทรงโดมประมาณครึ่งพิมพ์ นำเยลลี่กาแฟวางลงไปบนมูส กดเล็กน้อยให้เยลลี่จมลงไปในมูส ปาดมูสลงไปปิดบนเยลลี่ จากนั้นนำสปันจ์เค้กที่ตัดไว้แล้วปิดทับลงไปอีกที กดเล็กน้อย จากนั้นนำพิมพ์ใส่ลงไปในกล่องที่มีฝาปิดสนิท (เพื่อป้องกันไม่ให้เค้กแห้งและแข็งเนื่องจากความชื้นระเหยออกไปหมด) นำเข้าช่องฟรีซอย่างน้อยซัก 6 ชั่วโมง ให้มูสแข็งตัวจนสามารถแกะออกมาได้


ซอสคาราเมล
น้ำตาล 200 กรัม
น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม 200 มล.
เกลือ 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
ผสมน้ำตาล น้ำ และเกลือลงในหม้อทรงสูงหน่อย คนให้เข้ากันไม่ต้องถึงกับให้น้ำตาลละลาย นำขึ้นตั้งไฟอ่อนถึงกลาง เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม (แล้วแต่ความชอบ ถ้าเข้มนิดรสชาดก็ออกขมหน่อย) ยกลงจากเตา
นำวิปปิ้งครีมเข้าไมโครเวฟประมาณ 1 นาที พอให้ร้อนแบบมีฟองปุดๆ รอบๆ เทวิปปิ้งครีมที่ร้อนลงไปในส่วนของน้ำตาลไหม้ ควรใส่ถุงมือและยืนอยู่ห่างหม้อเอาไว้เมื่อทำขั้นตอนนี้ เพราะมันจะเดือดฟู่ขึ้นมาสูงมาก นั่นคือสาเหตุว่าทำไมต้องใช้หม้อทรงสูง (เดี๋ยวมันจะล้นนั่นเองค่า) คนให้เข้ากันอีกครั้ง รอให้เย็น เทคาราเมลที่ได้ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท แล้วจึงนำเข้าตู้เย็น สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน
ซอสช็อคโกแลต
ดาร์คช็อคโกแลต 100 กรัม
วิปปิ้งครีม 50 มล.
เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
นำดาร์คช็อคโกแลตและวิปปิ้งครีมเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาทีให้ร้อน นำออกมาคนให้ช็อคโกแลต ละลาย หย่อนเนยสดลงไปคนให้ละลายเข้ากัน เก็บเอาไว้ราดขนมที่โปรดปราน
ส่วนตกแต่ง
ซอสคาราเมล
ซอสช็อคโกแลต
มาคารองกาแฟ
วิธีทำ
แกะเค้กออกจากพิมพ์วางไว้บนตะแกรงที่มีถาดรองเอาไว้ ราดคาราเมลลงไปซักสองถึงสามรอบ ประกบข้างด้วยมาคาฮองกาแฟ ราดซอสช็อคโกแลต นำออกไปวางรอคนพิเศษได้เลย
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/05/21

Yogurt pancake like we used to have for hotel breakfast


จู่ๆ พ่อเจ้าประคุณลูกชายนึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ทั้งๆที่สะลืมสะลือจวนจะน็อคอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์นัวเนียอ้าปากพะงาบๆ ออดอ้อนบอกคุณแม่ขาว่าอยากรับทานแพนเค้กเป็นอาหารเช้าวันพรุ่งนี้แบบตอนที่อยู่โรงแรมบ้าง (เป็นลางบอกเหตุว่าอนาคตข้างหน้าไม่พ้นต้องได้ลูกสะใภ้ผมทองแน่เชียว) แต่ไม่ทิ้งคอนเซป เอาใจยากอีกตามเคย แบบว่าไม่ราดน้ำผึ้ง ไม่เอาเมเปิลไซรัป (ไม่ชอบกลิ่นมันพ่อเจ้าประคุณลูกชายเค้าบอก) แต่จะเทคาราเมลจนชุ่มโชก ราดซอสช็อคโกแลตด้วย แล้วโปะด้วยวิปปิ้งครีมกับผลไม้เล็กๆน้อยๆ พอกล้อมแกล้ม (ไอ้อันหลังนี้คุณแม่ขาหักคอให้ต้องมี เพื่อสารอาหารที่ครบถ้วน) ไม่เป็นไรสำหรับสุดที่รักเรื่องมากนิดๆหน่อยๆอภัยให้ได้อยู่แล้ว จริงๆแล้วเข้าทางคุณแม่ขาเลยตะหากละค้าคุณลูกขา ก็มันทั้งง่ายทั้งสบายกว่าควงตะหลิวทำกับข้าวซะอีก จัดไปอย่าได้ขัดเดี๋ยวพี่เค้าเปลี่ยนใจ

โยเกิร์ตแพนเค้ก
แป้งสาลีอเนกประสงค์     1/2 ถ้วย
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ        1 ถ้วยบรรจุ
ไข่ไก่                    2 ฟอง
น้ำตาล                1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                    1 ช้อนชา
วานิลลา                 1 ช้อนชา
ผงฟู                    1/2 ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา             1/2 ช้อนชา
เนยสด (สำรับทากระทะก่อนทอด)
วิธีทำ
นำของแห้งทั้งหลายลงชามผสมใช้ตระกร้อมือคนให้เข้ากัน ทำหลุมเอาไว้ตรงกลาง
ผสมโยเกิร์ตกับไข่ตีให้พอเข้ากัน เทลงตรงกลางหลุมที่ทำไว้ คนผสมให้เข้ากัน ไม่ต้องถึงกับต้องคนให้เนียน (เดี๋ยวจะได้โรตีแทนแพนเค้กเพราะมันจะเหนียวค่า) ทิ้งส่วนผสมที่ได้อย่างน้อย 5 นาที พอให้ส่วนผสมมันเพิ่มปริมาณขึ้น และมีฟองอากาศปุดๆ (ผลอันเนื่องมาจากปฏิกิริยาของเบกกิ้งโซดากับโยเกิร์ต)เป็นอันใช้ได้


ตั้งกระทะแบนเป็นแบบนอนสติ๊กได้ยิ่งดีบนไฟอ่อน ให้กระทะพอร้อน ตักเนยสดหย่อนลงไปกะแค่พอเคลือบก้นกระทะบางๆ พอกระทะร้อนได้ที่ตักส่วนผสมของแพนเค้กประมาณ 1/3 ถ้วยตวง เทหยอดลงไป (แต่ที่บ้านมีวงแหวนรูปกลม รูปดาว รูปหัวใจ เลยจัดมาใช้ไม่ไห้น้อยหน้ากัน) รอจนกระทั่งด้านล่างของแพนเค้กเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีฟองอากาศปุดขึ้นมาบนผิวด้านบน ก็จัดการพลิกบนลงล่างได้เลย รอให้ด้านล่างเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ (ใช้เวลาน้อยกว่าด้านแรก) ตักขึ้นพักในจานได้เลย
ทำแบบเดียวกันนี้ไปจนหมดส่วนผสมของแพนเค้ก อย่าลืมตักเนยสดหย่อนลงไปก่อนทุกครั้งก่อนหยอดส่วนผสมของแป้งแพนเค้ก


ซอสคาราเมล
น้ำตาล        200 กรัม
น้ำ             2 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม      200 มล.
เกลือ          1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
ผสมน้ำตาล น้ำ และเกลือลงในหม้อทรงสูงหน่อย คนให้เข้ากันไม่ต้องถึงกับให้น้ำตาลละลาย นำขึ้นตั้งไฟอ่อนถึงกลาง เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม (แล้วแต่ความชอบ ถ้าเข้มนิดรสชาดก็ออกขมหน่อย) ยกลงจากเตา
นำวิปปิ้งครีมเข้าไมโครเวฟประมาณ 1 นาที พอให้ร้อนแบบมีฟองปุดๆ รอบๆ เทวิปปิ้งครีมที่ร้อนลงไปในส่วนของน้ำตาลไหม้  ควรใส่ถุงมือและยืนอยู่ห่างหม้อเอาไว้เมื่อทำขั้นตอนนี้ เพราะมันจะเดือดฟู่ขึ้นมาสูงมาก นั่นคือสาเหตุว่าทำไมต้องใช้หม้อทรงสูง (เดี๋ยวมันจะล้นนั่นเองค่า) คนให้เข้ากันอีกครั้ง รอให้เย็น เทคาราเมลที่ได้ใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท แล้วถึงจะนำเข้าตู้เย็นสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน

ซอสช็อคโกแลต
ดาร์คช็อคโกแลต      100 กรัม
วิปปิ้งครีม             50 มล.
เนยสด                1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
นำดาร์คช็อคโกแลตและวิปปิ้งครีมเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาทีให้ร้อน นำออกมาคนให้ช็อคโกแลต ละลาย หย่อนเนยสดลงไปคนให้ละลายเข้ากัน เก็บเอาไว้ราดขนมที่โปรดปราน

ส่วนตกแต่ง
ซอสคาราเมล
ซอสช็อคโกแลต
วิปปิ้งครีม
ผลไม้สดตามชอบหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
วิธีทำ
ตีวิปปิ้งครีมให้ขึ้นฟู (ไม่ต้องใส่น้ำตาลเพราะคาราเมลก็หวานพออยู่แล้ว) วางแพนเค้กลงในจาน ตักวิปปิ้งครีมตามลงไป โรยด้วยผลไม้ที่ชื่นชอบ ราดคาราเมลและซอสช็อคโกแลต ส่งตรงไปที่โต๊ะ รับทานได้เลย
*หากใครไม่ชอบคาราเมลก็เปลี่ยนเป็นราดน้ำผึ้ง เมเปิลไซรัป ชอคโกแลตกานาซ เนยถั่ว พวกพาร์ลีนทั้งหลาย หรือจะเป็นซอสผลไม้ก็ได้ ตามแต่ศรัทธา*
*ในส่วนของแป้งแพนเค้กก็สามารถที่จะใส่ผลไม้สด หรือแห้งลงไปได้ อย่างเช่นพวกตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย ลูกเกด ลูกพรุน เป็นต้น แต่ต้องใส่หลังจากที่พักส่วนผสมให้ขึ้นแล้วหนึ่งครั้ง จึงค่อยๆตะล่อมผลไม้สดหรือแห้งที่เราต้องการลงไป แล้วพักให้ขึ้นอีก 5 นาที เป็นอันใช้ได้*

2011/05/20

Easy but very yummy strawberry shortcake


โดนพี่ชายสามีเข็นให้ไปตีแบดอีกแล้วครับพี่น้อง ด้วยความที่ดันปากเปราะไปชวนเค้าให้ออกกำลังกายสลายห่วงยางกัน แรกๆก็คึกคัก ยังไม่ถึงเวลานัดกันดีก็โทรตามจิกงุกงิก พ้นผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ อะไรๆที่เคยฟิตเปรี๊ยะ ก็หย่อนและยานลง (หมายถึงความตั้งใจและพยายามอ่ะนะค้า อย่าลงลึกในรายละเอียดมากเดี๋ยวติดเรต) ก็ในคอร์ทแบด มันทั้งร้อนทั้งอากาศไม่ค่อยจะถ่ายเท ตีไปตีมาเหมือนมีคนมาแย่งอากาศเอาไปหายใจไงงั้น เหนื่อยแสนเหนื่อย กลับมาบ้านก็เมื่อยสุดๆ เกิดอาการอยากบริโภคของหวานเพื่อเพิ่มระดับอินซูลินในกระแสเลือดขึ้นมาตะหงิดๆ (แล้วอย่างงี้จะไปวิ่งฟาดไม้ทำไมก็ไม่รู้ คุณสามีเค้าเปรยแบบจิกๆ ไม่ยักกะสำนึกแฮะของแบบนี้) แต่เพลียจังหาอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนทำดีกว่า แทบไม่ต้องคิดเลยมันลอยวนเวียนอยู่ในหัวมาหลายวันละ มันเป็นอะไรที่โปรดมากๆ ก็เจ้าสตรอเบอร์รี่ชอร์ตเค้กนี่ไง (พวกเบอร์รี่ทุกชนิดไม่เคยขาดตู้เย็น เจอที่ไหนซื้อที่นั่น) น้ำท่าไม่ต้องอาบมันเลย (วันนี้ของดหย่อนเกลือลงในทุกขั้นตอน เพราะอาศัยความเค็มจากตัว 55555) กลับมาถึงก็วิ่งโร่ไปที่ตู้เย็นโลด โกยวัตถุดิบที่ต้องใช้ออกมา สปันจ์เค้กวันนี้ไม่ต้องทำ เพราะมีเหลือเก็บจากสองวันก่อน สตรอเบอร์รี่ซอสก็ยิ่งไม่ต้องทำใหญ่ เพราะเคี่ยวเก็บเอาไว้เป็นเหยือกเรียบร้อยแล้ว งานหนักก็ตกอยู่แค่ล้างและหั่นสตรอเบอร์รี่ ทำเจ้าครีม chantilly ที่หมูสุดๆ (เหมือนคนทำ) และเตรียมตัวประกอบร่างแค่นั้น สุดยอดดดดด

สปันจ์เค้ก
แป้งเค้ก           55 กรัม
แป้งข้าวโพด        5 กรัม
น้ำตาล            55 กรัม
ไข่                2 ฟอง (แยกไข่แดง-ขาว)
เนย              10 กรัม
นม               10 มล.
น้ำมัน             10 มล.
วานิลลา           1/2 ช้อนชา
เกลือ             1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้งทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส
นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง ใส่ไข่แดงทีละฟองตีให้เข้ากัน ทะยอยเติมแป้งลงไป ตะล่อมให้เข้ากันดี
เทน้ำมันใส่ชามอีกใบ นำนมกับเนยเข้าไมโครเวฟนาน 20 วินาที แล้วนำมาเทผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งหนึ่งในสามของส่วนผสมของไข่กับแป้งมาตะล่อมกับส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับไปผสมกับส่วนผสมของไข่กับแป้งที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่ถาดอบ เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที นำออกมาพักไว้ให้พออุ่น คว่ำออกจากถาด ตัดเป็นรูปทรงตามต้องการ
* การที่ทำให้ส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันอุ่นขึ้น จะช่วยให้ผสมเข้ากับส่วนผสมของไข่กับแป้งได้ดีขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ก้นพิมพ์แล้วทำให้เค้กด้านล่างแข็งเป็นไต นอกจากนี้การแบ่งส่วนของแป้งกับไข่มาผสมกับส่วนของนม เนย และน้ำมัน ก็มีส่วนช่วยให้ผสมได้ง่ายเช่นเดียวกัน*

สตรอเบอร์รี่ซอส
สตรอเบอร์รี่     500 กรัม
น้ำตาลทราย    150 กรัม
น้ำมะนาว         1 ลูก
วิธีทำ
หั่นสตรอเบอร์รี่เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในหม้อเคลือบใส่น้ำตาลลงไปทั้งหมด นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนสตรอเบอร์รี่เปื่อยยุ่ย ใช้ไฟอ่อนถึงกลาง คอยคนตลอดเวลา จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไป คนให้เข้ากัน ยกลงพักให้อุ่นถึงเย็น
หากใครไม่ชอบเม็ดสตรอเบอร์รี่ก็กรองเม็ดออกก่อนซอสจะได้เนื้อเนียน แต่เรามันพวกขี้เกียจอย่างแรงเลยนำซอสที่ยังไม่ได้กรองเอาเม็ดออกเข้าเครื่องปั่นให้มันละเอียดซะเลย เทใส่ภาชนะปิดแช่ตู้เย็นเอาไว้ แค่นี้ก็ได้สตรอเบอร์รี่ซอสเอาไว้ใช้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ระยะเวลานานขนาดไหน เพราะว่าไม่ทันข้ามเดือนก็เกลี้ยงแล้ว ก็มันสารพัดประโยชน์ซะขนาดนั้น (เด็กๆที่บ้านเอาไว้ราดไอติม ทาขนมปัง และคุณแม่ขาก็เอาไว้ทำเค้ก)
*สามารถเปลี่ยนผลไม้เป็นตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ ได้ทุกชนิดหรือจะผสมทุกเบอร์รี่เลยก็ได้นะค้า*

ครีม Chantilly
วิปปิ้งครีม       300 มล.
น้ำตาลไอซิ่ง     30 กรัม
เกลือ          1/8 ช้อนชา
วานิลลา        1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
ทุกอย่างใส่รวมกัน ใช้เครื่องตีมือถือตีจนตั้งยอดกลางถึงแข็ง
*วิปปิ้งครีมที่ใช้ต้องเย็นจัดถึงจะตีให้ขึ้นฟูง่าย หากอากาศร้อนมากให้รองก้นภาชนะที่ใส่วิปปิ้งครีมชามใส่น้ำแข็ง เกลือป่น และน้ำเล็กน้อยระหว่างที่ตีวิปปิ้งครีม*

ส่วนตกแต่ง
สตรอเบอร์รี่ซอส
ครีม Chantilly
สตรอเบอร์รี่สดหั่นครึ่งลูก
บลูเบอร์รี่
ช็อคโกแลตขูด
น้ำตาลเม็ดสชมพู
วิธีทำ
ทาเค้กชั้นแรกด้วยสตรอเบอร์รี่ซอสจนทั่วให้ชุ่ม (อันนี้ความชอบส่วนตัวค่า) ปาดครีม Chantilly ลงไปคลุมบนเค้ก ตามด้วยเรียงสตรอเบอร์รี่หั่นครึ่งลงไปให้เต็มพื้นที่ (อันนี้ก็ความชอบส่วนตัวอีกนั่นแหละค่า) จากนั้นโปะทับด้วยปาดครีม Chantilly อีกรอบ ปิดทับด้านบนด้วยเค้กอีกหนึ่งชิ้นที่ทาสตรอเบอร์รี่ซอสไว้แล้ว โดยหันด้านที่ทาสตรอเบอร์รี่ซอสลงไปบนครีม ปาดหน้าเค้กด้านบนอีกครั้งด้วยครีม Chantilly บางๆ โรยขอบรอบข้างด้วยช็อโกแลตขูด ตกแต่งด้วยสตรอเบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ โรยน้ำตาลเม็ด เป็นอันเรียบร้อย
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า

2011/05/18

Let's make it up by red velvet cake

วันนี้โรงเรียนของหนุ่มน้อยเค้าเปิดเทอมวันแรก คุณแม่ขาอย่างเราก็กลัวละซิทีนี้ว่าลูกจะปรับตัวไม่ทัน ไล่ลูกให้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งปลอบทั้งขู่ว่าให้รีบข่มตาหลับซะเดี๋ยวเช้ามาจะได้ไม่มีปัญหาอิดออดไม่ยอมตื่น เพราะชินกับการตื่นสายมาเป็นแรมเดือน ที่ไหนได้พลิกล็อค คนที่ปรับตัวไม่ทันดันเป็นคุณแม่ขาเสียเอง ที่ไม่ทันจะตีห้าดีก็นอนไม่หลับเอาซะแล้ว จำเป็นต้องลากสังขารลงไปขลุกอยู่ก้นครัวควงตะหลิวทำกับข้าวตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ ให้มันได้อย่างงี้ซิ แถมวาดวิมานในอากาศเอาไว้ซะสวยหรูว่าถ้าแสบพี่ไปโรงเรียนแล้วจะสบายถึงสบายมากที่สุด เพราะจะเหลือแค่แม่คุณคนน้องเอาไว้ จิ๊บจ๊อย อีกแล้วครับท่านผิดคาด แม่คุณน้องสาวเค้าดันร้องหาพี่ชายที่แสนดีทั้งวัน ร่ำๆแต่ให้แม่เล่นด้วยไม่ยอมให้พัก ยังไม่ทันถึงสิบโมงดีพิษของการตื่นเช้ากว่าปกติก็กำเริบ สมองมันเบลอๆ ร่างกายมันไม่มีแรง ปวดหัว ตัวร้อนขึ้นมากะทันหัน (แต่ไม่รู้ว่าจะไปลาป่วยกับใครดี ไม่มีหัวหน้างาน) แม่เจ้าประคุณเค้าก็ยังไม่ถึงเวลานอนกลางวัน คิดถึ๊ง คิดถึง แสบพี่มาตะหงิดๆ อย่างน้อยมีแสบพี่อยู่ด้วยกันมันก็ดีไปแปดอย่าง เวลาแต่ละวันมันก็ผ่านไปเร็วกว่าวันนี้อีก มีคนช่วยเล่นช่วยดูน้องให้ ทำไม๊ทำไมถึงได้เสือกไสไล่ส่ง เร่งวันเร่งคืนให้โรงเรียนมันรีบเปิดเทอมด้วยก็ไม่รู้ เพิ่งจะมาสำนึกได้ก็อีตอนนี้แหละ
บ่ายสามโมง ยังไม่ถึงเวลาโรงเรียนเลิกคุณแม่ขารีบหนีบน้องสาวเข้าคาร์ซีทแจ้นไปรับพี่ชายด้วยความคิดถึง กะว่าไปถึงโรงเรียนแล้วจะโผเข้าไปกอดแล้วหอมแรงๆซักฟอด พร้อมทั้งหยอดคำหวานบอกว่าคิดถึงมากขนาดไหน พ่อเจ้าประคุณก็ดันทำให้อารมณ์เสียซะก่อน จากที่จะโชว์ซีนหวานเลยต้องพลิกบทบาทอย่างแรงไปเล่นซีนอารมณ์กันเลยทีเดียว พูดไปแล้วก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก คนเป็นแม่อายุอานามก็ปาเข้าไปตั้งสามสิบกว่าแล้ว การศึกษารึก็มี วุฒิภาวะทางอารมณ์น่าจะมีมากกว่าเด็กอายุหกขวบมากอยู่ แต่ดันเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง (รึเปล่า) ของลูกมาชวนทะเลาะเป็นตุเป็นตะ (เอ หรือว่าอายุสมองของคุณแม่ขาลดลงฮวบอย่างน่าใหายลงไปต่ำกว่าลูกซะอีก) จะง้อลูกยังไงดี ครั้นจะซื้อของเล่นก็ไม่อยากสปอยล์ลูก ครั้นจะพาไปเที่ยวก็เกินไปมั้ง จะอนุญาตให้เล่นเกมก็ไม่ใช่ที่ เอางี้แล้วกันทำเค้กก้อนเล็กๆ ให้เจ้าตัวเค้าถือไปกินกับเพื่อนที่โรงรียนให้ได้หน้านิดนึงดีกว่า (จริงๆ จะว่าไปแล้ววิธีนี้คิดออกตั้งนานแล้วแหละ แต่ไม่อยากแบไต๋ เดี๋ยวจับได้หมดว่าหาข้ออ้าง)

เค้กสีแดงแรงฤทธิ์
แป้งเค้ก              125 กรัม
บัตเตอร์มิลค์          100 กรัม (ถ้าไม่มี ให้ใช้นมจืด 100 กรัม + น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชาค่า)
เนยจืด               115 กรัม
น้ำตาลทรายป่น        150 กรัม
ไข่ไก่                  1 ฟอง
ผงโกโก้                1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ                 1/2 ช้อนชา
เบกกิ้งโซดา           1/2 ช้อนชา
วานิลลา                1 ช้อนชา
สีผสมอาหารสีแดง     1/2 ช้อนชา (เราใช้สีเจล)
วิธีทำ
กรุก้นพิมพ์ด้วยกระดาษซิลิโคนรองอบ (วันนี้ใช้พิมพ์สี่เหลี่ยม) ร่อนแป้งเค้ก ผงโกโก้ เกลือ และ เบกกิ้งโซดา เข้าด้วยกัน เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียสรอไว้ได้เลย
นำเนยชามสเตนเลส ใช้เครื่องตีแบมือถือตีให้อ่อนตัว แล้วค่อยๆทะยอยใส่น้ำตาลทรายป่นลงไป (ถ้าเค้กที่ต้องตีเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู แนะนำให้ป่นน้ำตาลก่อนให้ละเอียด เวลาตีเนยกับน้ำตาลจะได้เป็นเนื้อเดียวกันโดยที่เนยจะไม่เหลวไปซะก่อนขึ้นฟู อากาศบ้านเรามันร้อน) ตีให้ขึ้นฟูใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที อย่าลืมคอยปาดรอบชามด้วยนะค้า
ตีไข่ สีผสมอาหาร และวานิลลาให้เข้ากัน ค่อยๆ รินไข่ลงไปขณะที่ตีด้วยความเร็วต่ำ ตีให้เข้ากันและก็อย่าลืมคอยปาดรอบชามด้วยเช่นกันนะค้า


แบ่งส่วนของแป้งออกเป็นสามส่วน บัตเตอร์มิลค์สองส่วน ใส่แป้งลงไปในส่วนผสมของไข่และเนยก่อน ตะล่อมให้เข้ากัน ใส่ส่วนของบัตเตอร์มิลค์ ตะล่อมให้เข้ากัน ทำสลับไปเรื่อยๆ จนจบที่ส่วนของแป้ง ตะล่อมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวเป็นอันเสร็จ เทใส่พิมพ์ อบได้เลยประมาณ 25 นาที (อันนี้ก็แล้วแต่เตาอบและชนิดของพิมพ์ค่า)


นำเค้กออกจากเตา ใช้ปลายมีดแซะขนมให้หลุดจากขอบพิมพ์ คว่ำพิมพ์ลงพักไว้ให้อุ่นจนเกือบเย็น (ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้ตัวเค้กมันแห้ง อันนี้คิดเอาเองนะ เพราะทำแบบนี้ทีไรรู้สึกว่าเนื้อเค้กมันก็นุ่มชุ่มฉ่ำทุกที)




ครีมชีสฟรอสติ้ง
ครีมชีส (นิ่ม)     250 กรัม
เนยจืด (นิ่ม)      115 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง      120 กรัม
เกลือ             1/4 ช้อนชา
น้ำมะนาว          1 ช้อนชา
วิธีทำ
ตีครีมชีส เกลือ และน้ำมะนาวให้เนียน จากนั้นใส่เนยลงไปตีผสมให้เข้ากันดี ทะยอยใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป ตีให้เข้ากันจนได้ครีมที่เนียน




ส่วนตกแต่ง
ราสเบอร์รี่ซอส
วิธีทำ
สไลด์เค้กเป็นสองส่วน ปาดครีมชีสฟรอสติ้งให้ทั่วบนเค้กชั้นแรก นำเค้กอีกชั้นมาประกบ ปาดครีมครีมชีสฟรอสติ้งคลุมทั่วทั้งก้อน ตกแต่งจานด้วยราสเบอร์รี่ซอส ตัดเสริฟเป็นอันเสร็จพิธี


                   




อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า






2011/05/17

An aroma blue pea cake


หนีร้อนไปค้างคืนดูหิ่งห้อยที่อัมพวามา (หุ หุ หุ ที่นั่นดันร้อนกว่า เกือบตาย) ตามที่ได้สัญญากับเจ้าชายน้อยเอาไว้ตั้งแต่ช่วงปิดเทอมใหม่ๆ ว่าจะพาไปส่องวิถีชีวิตของสัตว์ตัวเล็กๆ แต่ทรงพลัง (มันปล่อยแสงได้เหมือนอัลตร้าแมนเลยนะลูกนะ สุดยอด) ล่วงเข้าไปก็เกือบจะเปิดเทอม เพิ่งสบโอกาสเหมาะ ไม่รอช้าจัดกระเป๋าโยนเข้ารถออกเดินทาง ไม่ถึงชั่วโมงดีก็ถึงอัมพวา เพิ่งรู้ว่าที่นั่นใครๆก็ฮิตบริโภคสมุนไพรแบบสุดๆ เหลียวซ้ายก็อัญชัน หันขวาก็ตะไคร้ ทนไม่ได้อย่างแรง ในเมื่อที่บ้านเราก็มีนี่นาอัญชัน ฝากไว้ก่อนเถอะกลับบ้านไปเจอแน่ สองวันหนึ่งคืนผ่านไปไวเหมือนโกหก ตะลีตาเหลือกเร่งคุณสามีให้รีบกลับบ้านอย่างด่วน ไม่ใช่ว่าอยากกลับมาทำขนมหรอก แต่ดันซื้อหมี่กรอบเจ้าดังที่เค้าทำกันสดๆ มาฝากญาติผู้ใหญ่ที่บ้าน (นิสัยเดิมโกยเรตติ้งเหมือนดอกส้มสีทองตอนนี้ยังไงยังงั้น) เจ้าของสูตรเค้าบอกว่ามันจะอร่อยภายในแค่สองชั่วโมง หลังจากนั้นแล้วพ่อเจ้าประคุณหมี่จะเหี่ยว เหนียว ชืด (อะไรก๊าน ช่างเหมือนกับอีแก่ที่ยืนอยู่ข้างๆเจงๆ คุณสามีเค้าแอบแขวะ) เลยต้องรีบบึ่งกลับบ้านด่วนเพราะกลัวเสียหน้า หมดราคาคุย หลังจากประคับประคองหมี่น้อยกลอยใจใส่จานให้เครือญาติรับทานแล้ว ก็ถึงตาของเราบ้าง คันไม้คันมือมานานแล้ว

เยลลี่อัญชัน
น้ำเปล่า     1/2 ถ้วย
อัญชัน       20 ดอก
น้ำตาล        3 ช้อนโต๊ะ
เจลาติน       3 แผ่น (แช่น้ำเย็นให้นิ่มแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด)
วิธีทำ
ใช้มือขยี้ดอกอัญชันให้ละเอียดผสมกับน้ำเปล่า กรองเอากากออก เติมน้ำตาลลงไป นำไปเข้าไมโครเวฟประมาณหนึ่งนาที หย่อนเจลาตินที่นิ่มแล้วลงไป คนให้ละลาย พักไว้ให้อุ่นเทใส่พิมพ์ซิลิโคน (วันนี้ใช้ทรงโดม) นำเข้าช่องฟรีซจนแข็งตัว


สปันจ์เค้กอัญชัน
แป้งเค้ก           55  กรัม
แป้งข้าวโพด        5  กรัม
น้ำตาล            55  กรัม
ไข่                2  ฟอง (แยกไข่แดง-ขาว)
เนย              10  กรัม
นม               10  มล.
น้ำมัน             10  มล.
วานิลลา          1/2  ช้อนชา
อัญชัน             5 ดอก
เกลือ            1/8  ช้อนชา
วิธีทำ
ร่อนแป้งทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พักไว้ เปิดเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส
บดกลีบดอกอัญชันให้ละเอียดผสมกับนม พักไว้
นำไข่ขาวใส่ในชามสแตนเลส ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบ ทะยอยใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนตั้งยอดกลาง ใส่ไข่แดงทีละฟองตีให้เข้ากัน ทะยอยเติมแป้งลงไป ตะล่อมให้เข้ากันดี
เทน้ำมันใส่ชามอีกใบ นำนมผสมอัญชันกับเนยเข้าไมโครเวฟนาน 20 วินาที แล้วนำมาเทผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งหนึ่งในสามของส่วนผสมของไข่กับแป้งมาตะล่อมกับส่วนผสมของน้ำมันให้เข้ากันดี แล้วจึงเทกลับไปผสมกับส่วนผสมของไข่กับแป้งที่เหลือ ตะล่อมให้เข้ากันอย่างเบามือ เทใส่ถาดอบ เกลี่ยให้เรียบ นำเข้าเตาอบนานประมาณ 8-10 นาที นำออกมาพักไว้ให้พออุ่น คว่ำออกจากถาด ตัดเป็นรูปทรงตามต้องการ (วันนี้เป็นวงกลม เพราะใช้พิมพ์กลมแต่ดันถอดก้นไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรมีวิธีแก้ไข วิธีตามด้านล่างเลย)
* การที่ทำให้ส่วนผสมของนม เนย และน้ำมันอุ่นขึ้น จะช่วยให้ผสมเข้ากับส่วนผสมของไข่กับแป้งได้ดีขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ก้นพิมพ์แล้วทำให้เค้กด้านล่างแข็งเป็นไต นอกจากนี้การแบ่งส่วนของแป้งกับไข่มาผสมกับส่วนของนม เนย และน้ำมัน ก็มีส่วนช่วยให้ผสมได้ง่ายเช่นเดียวกัน*
* การใช้พิมพ์แบบถอดก้นไม่ได้มาทำมูส เพื่อให้นำเอามูสออกมาได้โดยไม่ทำให้มูสเสียรูปทรง สามารถทำได้โดยใช้พลาสติกแรปกรุให้รอบพิมพ์ แล้ววางเค้กที่ใช้เป็นฐานลงไป ดังรูปด้านล่าง เวลาจะนำมูสออกก็แค่ใช้ดรายเป่าผม เป่ารอบพิมพ์แล้วยกพลาสติกแรปขึ้น ข้อเสียของการไม่มีพิมพ์ถอดก้นก็คือ ตัวมูสจะเป็นรอยตามรอยย่นของแรป แต่ไม่เป็นไรของแบบนี้มาตกแต่งด้านนอกได้*


มูสอัญชันมะนาว
น้ำเปล่า     100  มล.
อัญชัน       20 ดอก
น้ำมะนาว     1/2 ลูก
เจลาติน      2 แผ่น (แช่น้ำเย็นให้นิ่มแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด)
วิปปิ้งครีม    200 มล.
น้ำตาลทราย  70 กรัม
เกลือ        1/8 ช้อนชา
วิธีทำ
นำน้ำเปล่า น้ำตาลทราย เกลือและดอกอัญชันใส่หม้อตั้งไฟ ต้มให้เดือดแล้วกรองเอากากออก หย่อนเจลาตินที่นิ่มแล้วลงไป คนให้ละลาย เติมน้ำมะนาวคนให้เข้ากันอีกครั้ง ทิ้งให้เย็น
ตีวิปปิ้งครีมให้ตั้งยอดกลาง เติมน้ำอัญชันลงไปครึ่งนึง คนให้เข้ากันแล้วจึงเติมน้ำอัญชันส่วนที่เหลือลงไป คนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว
แกะเยลลี่อัญชันออกจากพิมพ์ซิลิโคน วางไว้ตรงกลางของพิมพ์ที่ด้านล่างรองด้วยเค้กเอาไว้ เทมูสอัญชันลงไป เกลี่ยหน้าให้เรียบ นำเข้าช่องฟรีซจนแข็งตัว นำออกจากพิมพ์ตามวิธีที่แนะนำด้านบน พักให้หายแข็งตัวในตู้เย็นช่องธรรมดา รอการตกแต่งและตัดเสริฟ


ส่วนตกแต่ง
อัญชัน            1 ดอก
ไข่ขาว         
น้ำตาลทราย
วิธีทำ
นำแปรงชุบไข่ขาวทาให้ทั่วดอก จุ่มดอกอัญชันที่เคลือบด้วยไข่ขาวแล้วในน้ำตาลทรายให้เกาะให้ทั่ว สะบัดเอาน้ำตาลทรายส่วนเกินออก พักไว้รอจนแห้ง นำมาตกแต่งบนเค้ก



อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า