สวัสดีเดือนกันยา เผลอแป๊บๆ ปาเข้าไปเกือบสิ้นปีซะแล้ว วันๆ ผ่านไปเร็วเหมือนติดปีกเอามากๆ โดยเฉพาะช่วงที่ง่วนๆ ทำขนม ไม่น่าเชื่อว่าตัดสายสะดือคลอดบล็อคออกมาได้ตั้ง 4 เดือน มีบทความในคลังแสงถึง 50 บทความ บ่งบอกถึงความบ้าพลังสุดๆ แต่อย่าได้แคร์ ยังคงทำต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความถี่วันเว้นสองวัน
ถึงเวลาต้องทำอีกแล้ว มองหาวัตถุดิบดีกว่า สะดุดตากับผลไม้ลูกยาวสีเหลือง มีสรรพนามเรียกเป็นหวี ใบ้ให้อย่างงี้มันก็คงหนีไม่พ้น "กล้วย" ไม่ใช่กล้วยตานีปลายหวีเหี่ยวแต่เป็นกล้วยหอม ผลไม้มงคลยอดฮิตในการนำขึ้นหิ้งไหว้พระนั่นเอง กล้วยหอมที่วางแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะกินข้าวกล้วยมันหลุดออกจากหวีแทบทุกลูก บ่งบอกถึงตวามชราภาพอย่างแรง ถ้าไม่เล่นแร่แปรธาตุในวันนี้ คงไม่พ้นต้องย้ายที่อยู่ให้มันใหม่จากบนโต๊ะกินข้าวเป็นถังขยะแน่นอนภายในพรุ่งนี้เช้า หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะมีเมนูในสมองเรียบร้อยแล้ว เค้กกล้วยหอมแบบที่ใส่เนยกะโยเกิร์ตเคยอัพลงบล็อคแล้ว พยายามจะไม่ทำซ้ำ เพราะอยากให้เป็นทางเลือกที่หลากหลาย งั้นวันนี้ก็ต้องเป็นชิฟฟอนกล้วยหอมแนมกับเบอร์รี่สด ลูกเกด แล้วก็เพิ่มความมันกรุบกรอบด้วยอัลมอนด์สไลด์อบ เสริฟในขนาดเล็กๆ พอกัดสองสามคำหมด เริ่ดค่า มาทำเร็ว
ชิฟฟอนกล้วยหอมกับเบอร์รี่และอัลมอนด์
แป้งอเนกประสงค์ 75 กรัม
ไข่ไก่ 3 ฟอง (แยกแดง-ขาว)
น้ำตาลทราย 60 กรัม
กล้วยหอมบดละเอียด 2 ลูก
น้ำมันพืช 30 มล.
เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
เหล้ากลิ่นกล้วย 2 ช้อนชา
เกลือ 1/8 ช้อนชา
สตรอเบอร์รี่สดหั่นเต๋า 1/4 ถ้วยตวง
บลูเบอร์รี่สด 1/4 ถ้วยตวง
ลูกเกด 1/4 ถ้วยตวง
อัลมอนด์สไลด์อบ 1/4 ถ้วยตวง
วิธีทำ
เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ไฟบนล่างรอไว้
นำกล้วยบด เกลือ ไข่แดง น้ามันและเหล้า ใส่ลงในชามคนให้เนียนเข้ากันพักไว้
ในชามสเตนเลสที่แห้งและสะอาด ใส่ไข่ขาวลงไป ใช้เครื่องตีมือถือตีให้เป็นฟองหยาบๆ ทะยอยเติมน้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยโดยที่ไม่ต้องหยุดตี จนไข่ขาวฟูตั้งยอดกลางถึงแข็ง
นำแป้งใส่ลงในส่วนของกล้วยที่พักไว้ คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งส่วนของเมอร์แรงไข่ขาวออกมา 1/3 ส่วน ตะล่อมลงไปในส่วนของแป้งกับไข่ให้เนียนเข้ากันแล้วเทกลับลงไปในส่วนของเมอร์แรงที่เหลือ ตะล่อมให้เนียนเข้ากันดีอย่างเบามือ
ตักใส่พิมพ์คัพเค้กหรือมัฟฟิ่นประมาณ 3/4 ของพิมพ์ โรยเบอร์รี่ ลูกเกด และอัลมอนด์ลงไป นำเข้าเตาอบประมาณ 15-20 นาที จนเค้กส่งกลิ่นหอม นำเค้กออกมาพักให้เย็นเก็บใส่กล่องปิดฝาให้สนิทเอาเก็บไว้กินได้อีกหลายวันค่า
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค้า
No comments:
Post a Comment